KUBHD ดูหนังออนไลน์ Spider Man No Way Home (2021)
เรื่องย่อ
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่กำกับโดย Jon Watts และทำหน้าที่เป็นภาคที่สามของซีรีส์ภาพยนตร์ Spider-Man ของ Marvel Cinematic Universe (MCU) ภาพยนตร์เรื่องนี้รวบรวมองค์ประกอบจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Spider-Man ภาคก่อนๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเรื่องราวที่หลากหลายที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วโลก
เรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ใน “Spider-Man: Far From Home” (2019) ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์ เผชิญกับวิกฤตเมื่อตัวตนที่เป็นความลับของเขาในฐานะสไปเดอร์แมนถูกเปิดเผยโดย Mysterio ในความพยายามที่จะลบความทรงจำของทุกคนเกี่ยวกับเขา ปีเตอร์ขอความช่วยเหลือจากด็อกเตอร์สเตรนจ์ ซึ่งแสดงโดยเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ อย่างไรก็ตาม มนต์สะกดนั้นผิดไป ทำให้เกิดความแตกแยกในลิขสิทธิ์และนำผู้ร้ายจากความเป็นจริงอื่นมาสู่โลกของปีเตอร์ ในขณะที่ตัวละครต่างๆ ของ Spider-Man รวมถึงโทบีย์ แม็กไกวร์และแอนดรูว์ การ์ฟิลด์กลับมารับบทเดิม ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากหลายฝ่าย ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจธีมของตัวตน ความรับผิดชอบ และผลที่ตามมาของการดัดแปลงความเป็นจริง ดูหนัง ออนไลน์
ผู้กำกับ
จอน วอตส์
บริษัท ค่ายหนัง
- โคลัมเบียพิคเจอร์ส
- มาร์เวลสตูดิโอส์
- ปาสคาลพิกเชอส์
นักแสดง
- ทอม ฮอลแลนด์
- เซ็นเดยา
- เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
- เจค็อบ บาเทลอน
- จอน แฟฟโรว์
- เจมี ฟ็อกซ์
- วิลเลม เดโฟ
- อัลเฟรด โมลินา
- เบเนดิกต์ หว่อง
- โทนี เรฟโวโลรี
- เมริซา โทเม
- แอนดรูว์ การ์ฟิลด์
- โทบีย์ แมไกวร์
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
ฉันชอบดูหนัง
สไปเดอร์แมนของมาร์เวลที่ชอบที่สุด ชอบมากกว่าสองภาคแรก แต่ถึงยังไงใจก็ยังรักภาคโทบี้กับแอนดรูว์มากกว่าอยู่ดี..
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม เรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในภาคก่อนหน้า เมื่อ มิสเทอริโอ ได้เปิดเผยตัวตนของสไปเดอร์แมนให้โลกรู้ ทำให้ปีเตอร์อยากกลับไปเหมือนเดิมแบบที่ทุกคนจำเขาไม่ได้ จึงไปหา ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ให้ช่วย แต่กลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด มัลติเวิร์สปั่นป่วน ทำให้เหล่าวายร้ายเก่าๆ หลุดเข้ามา ปีเตอร์จึงต้องหาทางรับมือให้ได้
สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม ทำให้เรารู้สึกอินได้ แม้จะมีจุดที่รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง ตรงนิสัยความเป็นเด็กของปีเตอร์ แต่พอนึกๆดู วัยเด็กของทุกคนก็ล้วนแล้วมีความดื้อรั้นด้วยกันทั้งนั้น ทำให้มองข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ อีกอย่างในชีวิตจริง บางครั้งอารมณ์ก็นำเหตุผลอยู่เสมอ สิ่งที่คนอื่นทำก็มีขัดใจเราได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะความคิดหรือการกระทำ ตัวละครปีเตอร์ก็เหมือนเป็นเด็กคนนึงที่ยังไม่เติบโตทางความคิด แต่เหตุการณ์ในภาคนี้นี่แหละ ที่ทำให้ปีเตอร์ได้เรียนรู้ เติบโตและก้าวผ่าน…
ใครที่เป็นแฟนสไปดี้มาตั้งแต่สองเวอร์ชั่นก่อน น่าจะชอบ โน เวย์ โฮม เขาสร้างมาเซอร์วิสแฟนๆ ได้ตรงจุด โดนใจ ทำให้หวลคิดถึงวันเก่าๆ ทำเอาเราน้ำตาคลอได้ในบางฉาก มีปมและเรื่องราวที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ตรงนี้แหละที่ทำให้เราอินและทัชใจ ถ้าใครยังจำตอนรีวิวภาคก่อนได้ ก็จะบอกว่าสนุกแต่ไม่มีอะไรให้จดจำและประทับใจ แต่โน เวย์ โฮม กลับทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ ประทับใจและจดจำ ดูจบแล้วทำให้อยากย้อนกลับไปดูทั้งสองเวอร์ชั่นให้ครบทุกภาคอีกครั้ง
9/10 คะแนน
จบแล้วรีวิว
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม
#จบแล้วรีวิว #SpiderManNoWayHome
หลังจากแอดดองไว้นาน ก็มาเขียนรีวิวย้อนหลังกันบ้าง
เรื่องย่อสั้นๆเลยคือทุกคนบนโลกรู้แล้วว่าสไปเดอร์แมน คือ ปีเตอร์ พาร์คเกอร๋ และดันโดนใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกร ทั้งหมดจึงส่งผลกระทบกับปีเตอร์ และคนรอบตัวเขาทั้งหมด เลยไปขอให้ดร.สเตรจน์ช่วยให้ทุกคนลืมปีเตอร์ พาร์คเกอร์ แต่ดันเกิดการแทรกแซงจนคาถาเปลี่ยนไปและดึงเอาทุกคนที่รู้จักสไปเดอร์ หรือปีเตอร์ พาร์คเกอร์จากทุกมิติเข้ามา จึงเกิดเป็นความวุ่นวายในจักรวาลนี้
นี่เรียกได้ว่าเป็นภาคที่รีเซตสไปเดอร์แมน เวอร์ชั่นทอม ฮอลแลนด์เลยก็ว่าได้ หลายๆคนที่ตามมาร์เวลมาก็จะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นการเปิดทางเข้าสู่เฟสใหม่ของ MCU ฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นการเปิดทาง และปิดแผลในอดีตนั่นเอง
เราจะรีวิวแบบไม่สปอยล์ก็คงยากนิดนึง แต่หลลายคนก็น่าจะรู้แล้วละ ฉะนั้นเราจะพูดถึงแบบผ่านๆละกัน ไม่เจาะจง
เริ่มจากภาคนี้เซ็ตไว้ที่หากทุกคนรู้ตัวจริงของสไปเดอร์แมนจะเกิดอะไรขึ้น จริงๆเรื่องนี้ก็น่าสนใจมาอย่างยาวนานแล้ว ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน แต่เวอร์ชั่นก่อนๆก็ไม่เคยหลุดตัวจริงสักที มีแต่เกือบๆ แต่ภาคนี้ใส่มาเป็นแกนหลักเลย และเราก็ได้เห็นผลของมันในเรื่องนี้
จะเรียกว่าเป็นการเอาใจแฟนสไปเดอร์แมนก็ว่าได้ อยากเห็นอะไร ก็น่าจะได้เห็นหมด เซอร์วิสไปเต็มๆเลย แต่อย่างว่าเหตุของเรื่องนี้ดูกิ๊งก๊องไปหน่อย ดูเหมือนเด็ก ซึ่งปีเตอร์เวอร์ชั่นทอมก็มีความเป็นวัยรุ่นและเด็กสูงกว่าภาคอื่น จึงยังพอเข้าใจได้ มันแค่สะกิดในใจเล็กๆเฉยๆ
อย่างว่าเรื่องนี้ปูทางไปมัลติเวิร์ส ก็ถือว่าเริ่มได้ดี แต่อีกอย่างที่น่าชื่นชมคือพาร์ทของการแก้ปมในใจของสไปเดอร์แมนผ่านบทสนทนาต่างๆนี่แหละ แอดมองว่านอกจากจะได้เซอร์วิสแล้ว ยังคลายปมต่างๆที่ยังไม่เคยเล่าในสไปเดอร์แมนภาคก่อนๆด้วย ซึ้งประมาณนึงเลยเชียว
การต่อสู้ในเรื่องมีเยอะสมใจเลยแหละ ทั้งต้นเรื่อง กลางเรื่อง และท้ายเรื่อง มีมาเรื่อยๆให้ไม่เบื่อเลย
ใครเป็นแฟนมาร์เวล ยิ่งแฟรนส์ไชน์สไปเดอร์แมนแล้วห้ามพลาดเป็นอันขาด ภาคนี้มีให้ดูใน Netflix ไปตามดูได้ แต่ถ้าอยากดูภาคก่อนๆ ก็เชิญที่ Disney+ Hotstar
“พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”
เด็กน้อยวิจารณ์หนัง
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม
8.5/10
“ เซอร์ไพรส์ หักมุม และประทับใจ “
⁃ ในที่สุดก็ถึงภาคที่สามของสไปเดอร์แมน Tom Holland ในเวอร์ชั่น MCU
⁃ แน่นอนครับหนังสานต่อเรื่องราวจาก Spider-Man: Far From Home ( 2019 ) ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปแบบถล่มทลาย
⁃ จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมานั้นสามารถสร้างความฮือฮาให้กับคนดูได้ทันที ว่าหนังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวสุดแสนเซอร์ไพรส์อย่างที่คนดู(แอบ)คาดหวังเอาไว้หรือเปล่า
⁃ และความรู้สึกของผมหลังจากดูจบ มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ซึ่งผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า หนังเต็มไปด้วย “ เซอร์ไพรส์ หักมุม และประทับใจ “ จริงๆนั้นเอง
⁃ หนังเล่าถึงเรื่องราวต่อเนื่องจากภาค Far From Home ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ( Tom Holland ) และคนรอบตัวของเขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จากการถูกเปิดเผยความจริงว่าตัวเขาคือ สไปเดอร์แมน ดังนั้นปีเตอร์จึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ( Benedict Cumberbatch ) จอมมหาเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ให้ลบความทรงจำเพื่อให้คนทั้งโลกลืมเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และแน่นอนว่าการร่ายคาถาในครั้งนี้ ก่อให้เกิดวายร้ายจากโลกคู่ขนานต่างๆหลุดออกมา และแน่นอนว่ามันยากเย็นเกินกว่าที่สไปเดอร์แมนจะต่อกรได้
⁃ ผมขอพูดถึงข้อเสียของตัวหนังกันก่อนดีกว่า ( ปกติจะพูดถึงข้อดีก่อน )
⁃ ปกติผู้กำกับ Jon Watts จะเล่าเรื่องแบบเพลย์เซฟมาโดยตลอด แน่นอนว่าสองภาคแรกก็เป็นแบบนี้ และมาคราวนี้ในช่วงพาร์ทแรกของหนังก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน คือ เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา จนกระทั่งมาถึงช่วงพาร์ทสุดท้ายของหนังที่ผมชอบมาก เพราะว่าเป็นอะไรที่หักมุมแบบคาดไม่ถึง
⁃ และข้อเสียอีกเรื่องคือ การตัดสินใจที่ค่อนข้างขัดใจคนดูอยู่บ้างของตัวละคร และ บางช่วงเหมือนเยอะไปนิดจนล้น ( คือผู้กำกับตั้งใจเซอร์ไพรส์คนดูแบบเต็มที่ แต่มันรู้สึกว่าเหมือนจงใจอัดแน่นจนเยอะเกินไป ) และตัวละครวายร้ายที่มีมากเกินไป แน่นอนว่าการกระจายบทให้เด่นเท่าๆกัน มันทำได้ยาก เหมือนตัวละครวายร้ายบางตัว โดนลดบทบาทลง เพียงแค่มาเสริมเพื่อให้เติมเต็มในส่วนที่สมบูรณ์แบบของหนังเพียงเท่านั้น
⁃ และต่อไปนี้จะพูดถึงข้อดีกันบ้าง
⁃ อย่างที่ผมบอก ผมชอบพาร์ทสุดท้ายของหนังมากๆ เพราะว่าเป็นอะไรที่หักมุม และหนังเลือกกล้าที่จะเล่นแบบหลุดออกมาจากเซฟโซน
⁃ พอกล้าที่จะหักมุมปุ๊ป ทำให้คนดูได้เห็นถึงมิติของตัวละครอย่างปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หรือ สไปเดอร์แมนในเวอร์ชั่น Tom ว่าตัวละครนี้โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และตัวละครก็แสดงให้เห็นถึงพาร์ทดราม่าได้ดีกว่าทุกภาค แน่นอนว่า Tom Holland แสดงบทนี้ได้ดีจนน่าชื่นชม
⁃ ส่วนงานด้านภาพ นั้นหายห่วงอยู่แล้ว ทำออกมาได้ประทับใจ เพลงประกอบทำเข้ามาแบบถูกจังหวะ และที่สำคัญที่ผมชอบสไปเดอร์แมนภาคนี้มากๆก็คือ พาร์ทโรแมนติกระหว่างปีเตอร์ และ เอ็มเจ ( Zendaya ) ก็ทำออกมาได้ชวนจิ้นและอินได้มากพอสมควร
⁃ ส่วนตัวละครวายร้ายอย่าง กรีน ก็อบลิน ( Willem Dafoe ) และ ด็อกเตอร์ อ๊อตโต้ ( Alfred Molina ) รวมไปถึง อิเล็คโตร ( Jamie Foxx ) ก็แสดงได้ดีหายห่วง ( แหม่ระดับดารารุ่นใหญ่ขนาดนี้ ) ให้คนดูได้เห็นถึงมิติของวายร้ายที่ทั้งน่าเห็นใจ น่าสงสาร และน่ากลัวสุดๆ ในเวลาเดียวกัน
⁃ ส่วนพาร์ทแอ๊กชั่นทำออกมาได้สนุกเกินคาด และมีฉากแอ๊กชั่นใหญ่ๆหลายๆฉากด้วยกัน และแน่นอนว่าฉากแอ๊กชั่นต่างๆ ย่อมถูกใจแฟนคลับสไปเดอร์แมนได้อย่างแน่นอน
⁃ และหนังสอดแทรกมุขตลกเข้ามาแบบถูกจังหวะ ส่วนพาร์ทดราม่า มาแบบหนักหน่วงเกินคาดในช่วงท้าย และที่สำคัญหนังเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ และเอาใจแฟนคลับสไปเดอร์แมนได้แบบสุดๆนั้นเองครับ
⁃ และข้อดีข้อสุดท้ายที่ผมชอบมากจริงๆ คือ ชอบตอนจบของหนัง ที่กล้าเลือกที่จะจบแบบนี้ คือ ให้คนดูได้คิด และต้องติดตามอีกว่า หนังจะไปในทิศทางไหน และแน่นอนเลยว่าแฟนคลับสไปเดอร์แมนย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน
⁃ สรุปเลยแล้วกันครับ Spider-Man: No Way Home เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ “ เซอร์ไพรส์ หักมุม และประทับใจ “ พาร์ทดราม่าที่ลงตัว ฉากแอ๊กชั่นที่ทำออกมาได้ดูเพลิน และพาร์ทโรแมนติกที่ชวนจิ้น และมุขตลกที่ฮาแบบถูกจังหวะ ล้วนทำออกมาได้ดี และประทับใจได้เลยทีเดียว ดังนั้นขอให้คะแนน 8.5/10 สำหรับหนังเรื่องนี้ครับ
⁃ และแน่นอนมาร์เวลอะเนอะ มีฉากท้ายเครดิตเช่นเคยนั้นเอง
Spider-Man Thailand Fanpage
รีวิว (ไม่สปอย) คะแนน : 10/10
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม
ฉายจริงวันที่ 23 ธันวาคม 2021
นี่อาจเป็นหนึ่งในหนังมาเวลที่ดาร์คและจริงจังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หนังมันดูสนุกมากก!! 2 ชั่วโมงครึ่งเหมือนผ่านไปแค่ 1 ชั่วโมง ไม่มีตอนที่น่าเบื่อเลยสักนิด ลุ้นตลอดในทุกซีนทุกช็อตของหนัง ใครชอบสไปเดอร์แมนยังไงก็หลงรักภาคนี้แน่นอน!!!!
ภาคนี้เป็นการจบไตรภาคสไปเดอร์แมนของ MCU นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในจักรวาลตั้งแต่ปี 2016 ใน Civil War อย่างที่รู้กันว่าปีเตอร์ในเวอร์ชั่นนี้จะยังเด็กอยู่ เราจะได้เห็นเขาเติบโต เรียนรู้ ลองผิดลองถูกมากมาย และในภาคนี้ปีเตอร์จะต้องเจอกับบททดสอบที่ยิ่งใหญ่และหนักหนาสาหัสที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
ถึงแม้ว่าหนังจะจั่วหัวว่าเรื่องที่จะเล่าคือมัลติเวิร์ส มันดูอลังการ ดูเป็นสงคราม ต่อสู้กันมันส์ๆ แต่พอได้ดูจริงๆแล้ว สิ่งพวกนั้นมันเหมือนเป็นแค่ส่วนประกอบเป็นแค่ฉากหน้าเท่านั้น หัวใจของมันคือการเล่าและพาปีเตอร์ไปสู่บททดสอบ และได้เรียนรู้ถึงการเป็นสไปเดอร์แมน หนังได้พาเราเข้าไปสำรวจตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ ..และโหดเหี้ยม!! เรียกได้ว่าผู้กำกับและมาเวลในครั้งนี้ไม่ยั้งมือกันเลยทีเดียว ใส่เต็มทุกอารมณ์ทุกเหตุการณ์ จนบางทีก็แอบสงสารปีเตอร์ไปเลย (ไปดูกันเอาเอง)
ที่ผ่านมาจุดเด่นของสไปดี้เวอร์ชั่นทอมเลยคือเขายังเป็นเด็ก สังเกตว่าในสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นก่อน ๆ สไปดี้จะผ่านช่วงเรียนรู้ไปไวมากและกระโดดไปสู่สไปเดอร์แมนเต็มตัวเลยภายในไม่ถึงครึ่งเรื่อง แต่ในสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นนี้มาเวลเขาเน้นเล่าช่วงที่ปีเตอร์กำลังเรียนรู้ ลองผิดลองถูก และรับผลกระทบของการกระทำต่างๆ ซึ่งพอมาถึงภาคนี้พูดได้เลยว่า ปีเตอร์ทอมไม่ใช่เด็กอีกแล้ว นายโตเป็นผู้ใหญ่ นายคือสไปเดอร์แมนเต็มตัวแล้วในภาคนี้ เพราะอะไรต้องไปดู
ในแง่ตัวละครต่างๆ คือดีมากกกก คือคิดถึงมากกก เอากลับมาแล้วทำได้ดีมาก อย่างวิลเลมตอนแรกก็กลัวแกไม่ได้กลับมาเป็นก็อบลินนะ ด้วยอายุด้วยอะไร แต่แกก็มา และไม่ได้แค่ยัดๆมาเท่านั้น เพราะหลายๆคนอาจจะกังวลว่าตัวละครมันเยอะมาก ตัวร้ายตั้ง 5 ตัว มันจะเละเหมือนอย่างภาค 3 ในปี 2008 มั้ย เพราะดันยัดตัวละครมาเยอะเกินไป ซึ่งขอบอกตรงนี้เลยว่า ผู้กำกับภาคนี้เอาอยู่!! ทุกตัวละคร ทุกเหตุการณ์ถูกเรียงและเล่าได้อย่างพอดี แบบไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ คือมันครบจริงๆ เรารู้สึกเต็มอิ่มไปกับทุกตัวละครจริงๆ ไม่รู้สึกเสียดายอะไรเลย อะไรอยากเห็นได้เห็น!! ผู้กำกับเขารู้ไปหมดเลยว่าแฟนๆต้องการอะไร ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับจริงๆในเรื่องนี้ เก่งมากๆๆๆๆ
เรื่องการแสดงคือหายห่วง เพราะอย่างที่รู้กันว่านักแสดงแต่ละคนในภาคนี้คือเป็นนักแสดงที่ช่ำชองวงการและมากฝีมือ ระดับครูทั้งนั้น ยิ่งวิลเลม เดโฟ ในบทกรีนก็อบลินคือแบบ..!!!! ไม่อยากสปอยอะไรเลย อยากให้ไปเห็นเองเต็มๆตา วิลเลมแกปล่อยของแบบเต็มๆจริงๆ และที่ไม่ผิดคาดเท่าไหร่คือ พระเอกของเราอย่างทอม ฮอลแลนด์ ที่แกเอาอยู่จริงๆ เข้าซีนกับนักแสดงมากฝีมือขนาดนี้ แต่แกคุมซีนได้อยู่หมัด ไม่ดูด้อยไปกว่าใครเลย
เรื่องนี้จะเป็นสไปเดอร์แมนที่มีฉากแอคชั่นที่ดุดันที่สุด!! ตามที่โซนี่เคยโม้ไว้ และเขาทำได้จริงๆ คุณจะไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้มาก่อนในหนังสไปเดอร์แมนภาคไหน รวมถึงเอฟเฟกต่างๆที่ทำออกมาได้ดีมากๆด้วย
และที่ขาดไม่ได้ แฟนเซอร์วิสสส!!! แอดแนะนำนะ ถ้าเป็นไปได้ ให้ไล่ดูหนังสไปเดอร์แมนภาคคนแสดงภาคก่อนๆให้หมดทุกภาคเลย ก่อนมาดูเรื่องนี้ แต่ถ้าถามว่าไม่ดูจะรู้เรื่องมั้ย? มันก็รู้เรื่องแหละ แต่แค่จะไม่อิน แล้วก็จะไม่ได้รับสารครบ 100% ตามที่ผู้กำกับเขาใส่หรือหยอดเข้ามา ซึ่งบอกเลยว่าแต่ละอันคือดีมากกก มีทั้งบทพูดและเรฟต่าง ๆ อยากให้ไล่ย้อนดูให้หมดก่อนจริงๆ นี่คือหนังเฉลิมฉลองภาพยนตร์สไปเดอร์แมนตลอด 20 ปีอย่างแท้จริงเลย
สรุป
หนังเรื่องนี้คือจดหมายรักแก่แฟนๆสไปเดอร์แมน จัดเต็มในทุกด้านทั้งเนื้อหา อารมณ์ แอคชั่น การแสดง และความอิ่มเอม มาเวลเขาจัดเต็มทุกๆอย่างให้แฟนสไปเดอร์แมนจริงๆ และทุกครั้งที่ตัวละครที่คุ้นหน้าออกมา ทั้งด็อกอ็อคที่เราเคยนั่งดูและกลัวตอนเด็ก ๆ หรืออิเล็กโตรที่เราเคยมองว่าเอฟเฟกมันอลังการที่สุดในยุคนั้น ได้เห็นพวกเขาเข้ามาโลดแล่นอยู่พร้อมกัน มันทำให้คนที่ตามสไปเดอร์แมนมาตลอด 20 ปี ยิ้มและปลื้มปริ่มจนน้ำตาไหลจริงๆ จนบางทีแทบจะไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอมันคือเรื่องจริง ขอบคุณโซนี่และมาเวลที่ตัดสินใจทำเรื่องนี้ออกมา และทำมันออกมาได้เพอร์เฟ็กมากจริงๆ ถ้าจะให้ยกข้อเสียขึ้นมาสักหนึ่งข้อ ก็คงจะเป็นหนังมันสั้นไป อยากให้มันยาวกว่านี้ อยากนั่งดูมันให้นานกว่านี้ 🙂
ทิ้งท้าย
ใครยังไม่โดนสปอย หรือกำลังอยากจะหาอ่านสปอย บอกเลยว่ารอดูรอเห็นทุกอย่างทีเดียวในหนังเต็มดีกว่า มันคุ้มค่าแก่การหลบสปอยจริง ๆ นะ แอดรับประกัน
มีเอนเครดิต 2 ตัวนะ อยู่ดูให้ครบนะห้ามพลาด!!
Baron Nerd
Movie Review Time.(No Spoil) (รีวิวช้ากว่าชาวบ้าน แต่ยังอยากรีวิว)
“Spider-Man: No Way Home”
Director > Jon Watts
Cast
- Tom Holland
- Zendaya
- Benedict Cumberbatch
- Jacob Batalon
- Jon Favreau
- Jamie Foxx
- Willem Dafoe
- Alfred Molina
- Benedict Wong
- Tony Revolori
- Marisa Tomei
Spider-Man: No Way Home คือหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องที่ 27 จากแฟรนไชส์จักรวาลหนัง MCU ของค่าย Marvel Studios รวมกับ Sony Pictures ที่สร้างจากเนื้อหาบางส่วนของคอมมิค Spider-Man: One More Day ของ J. Michael Straczynski และ Joe Quesada จาก Marvel Comics, เป็นหนังภาคที่ 3 ของหนังไตรภาค Spider-Man ของ Tom Holland ที่อำนวยการสร้างโดยหัวเรือคนเดิมอย่าง Kevin Feige และกำกับโดย Jon Watts ผู้ที่เคยกำกับหนัง Spider-Man ฉบับ Tom มาแล้วสองภาคทั้ง Homecoming และ Far From Home
Spider-Man: No Way Home คือเรื่องราวหลังจากที่ Peter Parker ถูก Mysterio แฉว่าเขาคือ Spider-Man ทำให้ชีวิตของเขาและคนรอบข้างเขาต้องพบกับความลำบากวุ่นวาย ทำให้เขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจาก Doctor Strange เพื่อร่ายคาถาลบความทรงจำทุกคนให้ลืมว่าเขาคือ Spider-Man แต่คาถาดังกล่าวทำให้เกิดความวุ่นวายของ Multiverse และเหล่าวายร้ายของ Spider-Man จากจักรวาลอื่นๆก็ทยอยกันมาโดยมีเป้าหมายหลักคือ Spider-Man
– การเล่าเรื่อง
หนังเรื่องนี้นับว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ Fan Service ฟอร์มใหญ่อีกเรื่องพอๆกับ Avengers: Endgame เลยก็ว่าได้ เพราะหนังอัดแน่นไปด้วยการคืนสู่เย้าของกลิ่นอายหนัง Spider-Man เวอร์ชั่นก่อนๆทั้งฉบับ Tobey Maguire และ Andrew Garfield ให้แฟนๆคิดถึง ไม่ว่าจะโทนหนัง, องค์ประกอบ Easter Eggs ต่างๆ, ตัวละครที่เรารู้จักและคุ้นเคยที่กลับมา และซีนที่น่าจดจำบางซีนจากหนังเวอร์ชั่นก่อนๆ เอามาเล่าใหม่อีกครั้งในอีกรูปแบบนึงและถูกนำมาเล่าเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวและอารมณ์ตัวละครได้เป็นอย่างดีไม่แพ้ Avengers: Endgame
ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้พึ่งบารมีตัวละครวายร้ายเก่าๆหรืออะไรบางอย่างจากหนังเวอร์ชั่นก่อนๆ มันก็ใช่ เพียงแต่รอบนี้มันถูกเอามาใช้โดยไม่กลบเรื่องราวและรัศมีของตัวละคร Peter Parker หรือ Spider-Man ฉบับ Tom แบบภาคก่อนๆ แถมเรื่องราววายร้ายเก่าๆเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้ตัวละคร Peter ฉบับ Tom เริ่มเติบโตและเรียนรู้การเป็นฮีโร่เพื่อนบ้านที่แสนดี Spider-Man จริงๆสักที และไม่ต้องห่วงว่านี่คือหนัง Spider-Man เป็น Sidekick ให้กับฮีโร่ตัวอื่นใน MCU อีกรอบโดยมีเรื่องราวของฮีโร่ตัวนั้นๆเป็นแก่นหลักแบบตอน Homecoming ที่มี Iron Man กับ Far From Home ที่มี Nick Fury กับ Mysterio เพราะหนังภาคนี้ Doctor Strange บทมาแนวตัวละครรับเชิญเลยครับ(แต่ก็สร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างดี), เรื่องราว Multiverse เป็นแค่เรื่องรอง และเรื่องราวเกี่ยวกับ Spider-Man คือเรื่องราวหลักที่หนังโฟกัส
ในขณะเดียวกัน หนังก็มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตข้ามวัยจากวัยรุ่นมัธยมเป็นวัยรุ่นมหาลัยหรือผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวผ่านตัวละคร Peter Parker ที่แค่เรื่องจบมัธยมและเตรียมเข้ามหาลัยก็ว่าหนักแล้ว การที่ตัวเองถูกเปิดเผยว่าเป็น Spider-Man แล้วต้องพบเจอแต่ความบัดซบทั้งจากวายร้าย คนอื่นๆ รวมถึงตัว Peter เอง จนถาถมใส่ Peter และคนรอบข้างอย่างไม่ยั้งและหนักอึ้งมากๆ และตัว Peter ต้องรับมือและรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง(มีพวกพ้องของตัวเองคอย Support อยู่บ้าง) ซึ่งก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดึงความเป็น
Spider-Man อย่างที่ควรจะเป็นมากกว่าหนังภาคก่อนๆของ Tom ในแง่ของความชีวิตบัดซบของ Peter ที่ต้องรับมือและพึ่งพาด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ตามสโลแกนพลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ทำให้หนังเรื่องนี้มีเรื่องราวแก่นเรื่องที่เข้มข้นขึ้น จริงจังขึ้น และดาร์คขึ้นกว่าหนัง Spider-Man ของ Tom ภาคก่อนๆ ซึ่งก็เล่าออกมาได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน หนังก็ยังคงมีความเป็นหนังวัยรุ่นคอมเมดี้ใสๆวัยว้าวุ่น เคมีตัวละครแก๊งเพื่อน Peter ยิงมุขกันโบ๊ะบ๊ะ ซึ่งก็เล่าได้ดีเช่นเดิม ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้ มันให้ความรู้สึกเดียวกับดูหนัง Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ที่แฟรนไชส์หนังเปลี่ยนโทนจากหนังใสๆน่ารักๆมาเป็นหนังซีเรียสจริงจังดูโตขึ้นตามวัยตัวละคร
– บท
บทโดยรวมโอเค มีความสมเหตุสมผลในเรื่องราวและมีความอิหยังวะอยู่บ้าง แต่ก็พอจะมองข้ามได้เพราะหนังเรื่องนี้มี Dialogue ที่เวิร์คและตัวละครทุกตัวทั้งเวอร์ชั่นหนัง MCU และเวอร์ชั่นหนังเก่าๆพูดคุยด้วย Dialogue ที่สนุก บทตลกก็ยิงมุขกันได้ไหลลื่นและฮาดี(โดยเฉพาะเวลาวายร้ายจากหนังต่างเวอร์ชั่นคุยกันคือโคตรลงตัว) บทดราม่าจริงจังก็ใส่กันไม่ยั้ง บทตัวละครก็กระจายได้อย่างทั่วถึงเท่าที่จะทำได้และเคมีตัวละครทุกตัวก็ทำออกมาดีด้วย
– การแสดง/ตัวละคร
ตัวละครโดยรวมทำออกมาได้ดีทุกตัว ทั้งตัวละครเดิมๆอย่าง Peter, MJ, Nate, Flash, ป้า May, Happy และหมอแปลกที่ดีอยู่แล้ว, ตัวละครวายร้ายจากหนังเวอร์ชั่นเก่าทั้ง Green Goblin และ Doctor Octopus ก็เอามาใช้ได้โคตรคุ้มสมราคา แม้กระทั่งวายร้ายบทน้อยอย่าง Electro, Lizard และ Sandman ก็ยังมีซีนเด่นๆอยู่บ้างและส่วนตัวรู้สึกว่าบางตัวดูดีกว่าตอนอยู่ในหนังเวอร์ชั่นเก่าๆซะอีก ในส่วนของการแสดง นักแสดงทกคนทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะ Tom Holland ที่การแสดงบท Peter Parker/Spider-Man ดูเฉิดฉายที่สุดในบรรดาหนังไตรภาคที่เขาแสดงมา และ Willem Dafoe ในบท Norman Osborn/Green Goblin ที่การแสดงของเขาเข้าขั้นโคตรเทพ สามารถเล่นบทสองบุคลิกได้อย่างยอดเยี่ยมและดีไม่ต่างจากตอนที่เล่นในหนังเวอร์ชั่นเก่าของ Tobey Maguire
– งานภาพ/งานสร้าง
น่าจะเป็นส่วนที่ผมขัดใจที่สุดของหนังเรื่องนี้ เพราะหนังมีงานภาพที่ยังไม่สวยเท่าที่ควร คืองานภาพคุมโทนสีอะโอเค แต่มีการใช้ฉากเดิมจากหนัง Spider-Man เวอร์ชั่นเก่าๆซึ่งมันเอามาใช้แล้วมันดูลอยๆและไม่กลมกลืนกับหนัง, CG บางซีนก็ลอย และซีนตอนกลางคืนบางซีนกลับทำออกมาดูมืดเกินไปจนดูไม่รู้เรื่อง แต่ในส่วนเทคนิคการถ่ายทำ หนังมีการใช้การตัดต่อรวดเร็วหรือ Quick Cut ในบางซีนได้ถูกจังหวะและโอเค
– ดนตรี/เพลงประกอบ
ดนตรีประกอบยังคงแต่งโดย Michael Giacchino คนเดิม ซึ่งก็ทำออกมาได้โอเค
– ฉากแอ็คชั่น
ฉากแอ็คชั่นเรื่องนี้สนุกและโอเค อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่าหนัง Spider-Man สองเวอร์ชั่นเก่าๆหรือแม้กระทั่งภาค Far From Home แต่สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นหนังเรื่องนี้ยังดูสนุกและลุ้นได้คือเคมีตัวละครในเรื่องที่เราจะได้เห็นตัวละครร่วมมือกันเป็นทีมและช่วยสู้กัน และฉากแอ็คชั่นบางซีนก็ทำออกมาได้ดิบเถื่อนดี
หนังเรื่องนี้มี End-Credit สองตัว ซึ่งก็ไม่ควรพลาดเหมือนเดิม
Spider-Man: No Way Home เป็นหนัง MCU ปี 2021 ที่เรียกได้ว่าสนุกและดีที่สุดของปีแล้ว เป็นจดหมายรักแด่แฟนๆที่มีต่อแฟรนไชส์หนัง Spider-Man ทุกเวอร์ชั่น เป็นบทสรุปของหนัง Spider-Man ไตรภาควัยรุ่นมัธยมหรือ Home เพื่อนำไปสู่เรื่องราวการเป็น Spider-Man แบบที่ควรจะเป็นและเรื่องราวใหม่ๆของ Spider-Man ในอนาคตที่น่าสนใจและคาดเดาไม่ได้ และส่วนตัวผมยกให้เป็นหนัง Spider-Man ฉบับ Tom Holland ที่ผมชอบที่สุดและติด Top10 หนัง MCU ในดวงใจ ซึ่งถ้าจัดอันดับ TOp10 หนัง MCU โดยนับหนังเรื่องนี้ด้วย
1. Avengers ภาคแรก
2. Avengers: Endgame
3. Captain America: The Winter Soldier
4. Captain America: Civil War
5. Guardians of the Galaxy ภาคแรก
6. Iron Man ภาคแรก
7. Avengers: Infinity Wars
8. Black Panther ภาคแรก
9. Guardians of the Galaxy Vol.2
10. Spider-Man: No Way Home
ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนหนัง MCU, เป็นแฟนหนัง Spider-Man ทุกเวอร์ชั่น หรือเป็นแฟนหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ก็ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองครับ ชอบไม่ชอบอยู่ที่คุณ
รีวิวทั้งหมดนี้คือความรู้สึก+คหสต.ของแอดล้วนๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านรีวิวนี้นะครับ
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Avatar The Last Airbender (2024) เณรน้อยเจ้าอภินิหาร
The Beekeeper (2024) นรกเรียกพ่อ
Aquaman and the Lost Kingdom (2023) อควาแมน กับอาณาจักรสาบสูญ
7.8