หมวดหมู่: รวมหนัง Avengers

 

เรื่องย่อ

 

• The Avengers (2012) อเวนเจอร์ส

เมื่อศัตรูที่ไม่คาดคิดได้คุกคามความมั่นคงและความปลอดภัยของโลกใบนี้ นิค ฟิวรี่ (ซามูเอล แอล. แจ็คสัน) ผู้อำนวยการหน่วยรักษาความสงบและสันติระหว่างประเทศหรือที่รู้จักกันในชื่อ หน่วยชีลด์ จึงต้องรวมพลเหล่าซูเปอร์ฮีโร่เพื่อที่จะมาปกป้องโลกให้พ้นจากหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น การรวมตัวครั้งสำคัญของสุดยอดวีรบุรุษได้เริ่มต้นขึ้น โดย นิค สามารถรวบรวมได้ทั้ง โทนี่ สตาร์ค หรือ ไอรอน แมน (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) สตีฟ โรเจอร์ส หรือ กัปตัน อเมริกา (คริส อีแวนส์) คลินต์ บาร์ตัน หรือ ฮอร์คอาย (เจเรมี่ เร็นเนอร์) บรูซ แบนเนอร์ หรือ ฮัลค์ (มาร์ค รัฟฟาโล่) นาตาชา โรมานอฟ หรือ แบล็ค วิโดว์ (สการ์เลตต์ โจแฮนสัน) และ ธอร์ (คริส เฮมส์เวิร์ธ) มาร่วมเป็นหนึ่งทีมเฉพาะกิจที่ยิ่งใหญ่ เพื่อยับยั้งเหล่าร้ายที่มี โลกิ (คริส เฮมส์เวิร์ธ) เทพผู้น้องของ ธอร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

 

• Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก

โทนี่ สตาร์ค ต้องการที่จะปัดฝุ่นโครงการเพื่อสันติสุขของชาวโลกขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้ และเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ผู้ทรงพลังอย่าง ไอรอนแมน, กัปตันอเมริกา, ธอร์, ฮัลค์, แบล็ค วิโดว์ และ ฮอว์คอาย ต้องเผชิญกับบททดสอบอันยิ่งใหญ่โดยมีชะตากรรมของโลกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อ อัลตรอน สุดยอดวายร้ายได้ถือกำเนิด มีเพียง เหล่าอเวนเจอร์ส เท่านั้นที่จะสามารถหยุดยั้งเขาและผนการอันชั่วร้ายของเขาได้ ความวิตกกังวลของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ยอดนักสู้และการกระทำที่ไม่คาดคิดได้นำไปสู่มหากาพย์การผจญภัยระดับโลกที่ไม่มีใครเหมือน

 

• Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล

การเดินทางกว่า 10 ปีในการสร้างและขยายจักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวลในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน “อเวนเจอร์ส: อินฟินิตี้ วอร์ – มหาสงครามล้างจักรวาล” จากมาร์เวล สตูดิโอส์ คือการเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลบนจอภาพยนตร์ เมื่อเหล่าอเวนเจอร์สและพันธมิตรซูเปอร์ฮีโร่ ต้องทุ่มเททุกอย่างที่พวกเขามีและพร้อมที่จะเสียสละแม้กระทั่งชีวิต เพื่อที่จะเอาชนะธานอสผู้ทรงพลัง ก่อนที่ความพินาศและหายนะจากการโจมตีของเขาจะทำให้จักรวาลถึงจุดจบ

 

• Avengers Endgame (2019) อเวนเจอร์ส เผด็จศึก

เหล่าอเวนเจอร์ยังคงต้องปกป้องโลกจากภัยอันตรายครั้งใหญ่ที่เกินกว่าที่ซูเปอร์ฮีโร่คนเดียวจะรับมือได้ อันตรายครั้งใหม่นั้นมาจากเงามืดของจักรวาล “ธานอส” จอมเผด็จการแห่งจักรวาล เป้าหมายของเขาคือการรวบรวมอัญมณี อินฟินิตี้สโตนส์ทั้งหก เพื่อครอบครองพลังที่เกินจะจินตนาการถึง และใช้พวกมันในการเปลี่ยนแปลงความจริงทั้งมวลของจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างที่อเวนเจอร์ต่อสู้มาก็เพื่อสิ่งนี้ ชะตากรรมของโลกและจักรวาลไม่เคยสั่นคลอนเท่านี้มาก่อน

 

ผู้กำกับ

• จอสส์ วีดอน  – The Avengers (2012) อเวนเจอร์ส , Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก
• แอนโทนี รุสโซ – Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล , Avengers Endgame (2019) อเวนเจอร์ส เผด็จศึก
  โจ รุสโซ –  Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล , Avengers Endgame (2019) อเวนเจอร์ส เผด็จศึก

 

บริษัท ค่ายหนัง

มาร์เวล สตูดิโอส์

 

นักแสดง

• รอเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์
• คริส อีแวนส์
• มาร์ก รัฟฟาโล
• คริส เฮมส์เวิร์ธ
• สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน
• เจเรมี เรนเนอร์
• ทอม ฮิดเดิลสตัน
• คลาร์ก เกรกก์
• โคบี สมัลเดอร์ส
• สเต็ลลัน สกอชกวด
• ซามูเอล แอล. แจ็กสัน
• ดอน ชีเดิล
• แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน
• อลิซาเบธ โอลเซน
• พอล เบ็ตตานีย์
• แอนโทนี แมกกี
• เฮย์ลีย์ แอตเวลล์
• อิดริส เอลบา
• เจมส์ สเปเดอร์
• เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์
• ทอม ฮอลแลนด์
• แชดวิก โบสแมน
• เซบาสเตียน สแตน
• ดาไน กูริรา
• ลิทีเชีย ไรต์
• เดฟ บอทิสตา
• โซอี ซัลดานา
• จอช โบรลิน
• คริส แพร็ตต์
• พอล รัด
• บรี ลาร์สัน
• คาเรน กิลแลน
• แบรดลีย์ คูเปอร์

 

โปสเตอร์หนัง

 

รีวิวหนัง

• The Avengers (2012) อเวนเจอร์ส

Frankie Oldie

The Avengers(2012)

กำกับภาพยนตร์โดย : Joss Whedon

นำแสดงโดย : Robert Downey Jr., Chris Evans, Mark Ruffalo, Chris Hemsworth, Scarlett Johansson, Jeremy Renner, Tom Hiddleston

รีวิวหนังเรื่องต่อไป เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของMarvelที่เคยเป็นกระแสและได้รับความนิยมมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่หกของMarvel Cinematic Universe(MCU) ส่วนเรื่องราวของมันพูดถึงการรวมตัวของTony Stark, Steve Rogers, Bruce Banner, Thor, Natasha RomanoffและClint Bartonในการจัดตั้งทีมเพื่อกอบกู้โลกและหยุดยั้งการทำลายโลกของLokiน้องชายของธอร์ สำหรับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวลเรื่องนี้เป็นCrossover Moviesที่โคตรสนุก โคตรมันส์อย่างไร้ที่ติ โดยไม่ว่าจะเป็นการกำกับหนังของวีดอน บทภาพยนตร์ที่สื่อถึงความเป็นมนุษย์ของเหล่าฮีโร่ ฉากแอ็คชั่นที่เด็ดขาดอย่างสะใจ การใช้วิชวลเอฟเฟกต์สำหรับภาพมีมากกว่า 2,200 ภาพและส่วนอื่นๆที่ใช้ได้มีความสมจริงและเป็นการใช้ที่ไม่ให้ดูเหมือนว่าใช้วิชวลเอฟเฟกต์จากคอมพิวเตอร์มากเกินไป การแสดงของนักแสดงหลักที่ถ่ายทอดลักษณะนิสัยใจคอและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่เป็นตัวของตัวเอง ฉากแต่ละตอนที่สร้างอารมณ์ไว้หลากหลายทั้งความตื่นเต้น ความตลกนิดๆหน่อยๆ เป็นต้น ดนตรีประกอบหนังที่ยังคงบรรเลงถึงความคึกคักและกล้าหาญที่คุ้นหูมาก หนังเรื่องนี้เคยประสบความสำเร็จทั้งคำวิจารณ์ในเชิงบวกและทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับสามตลอดกาลในช่วงเวลาที่ออกฉายและเคยทำรายได้สูงสุดในปี2012 จนมีการสร้างภาคต่ออีก 3 เรื่องในแฟรนไชส์ของThe AvengersของMCUนี้อีกด้วยแฮะ

 

• Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก

Kanin The Movie

– รีวิวพิเศษ เจาะลึกภาพยนตร์ สปอยแน่นอน –

Avengers: Age of Ultron (2015) – ★★★★

กำกับโดย: Joss Whedon

ประเภท: แอ็คชั่น-ผจญภัย-แฟนตาซี

ความยาว: 141 นาที

เรต: PG-13

“เห็นกรงจักรมหาประลัยเป็นดอกบัว”

Joss Whedon กลับมาอีกครั้งกับภายพนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่มหาประลัยติดตลกตลอดกาลอย่างทีม Avengers , คราวนี้เขาต้องสู้กับตัวร้ายที่ โทนี่ กระต๊าก สร้างขึ้นมานาม อัลตรอน โดยเป้าหมายของมันช่างดีงามมากคือ ทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น (โดยการทำลายมนุษย์ซะ)

หนังมันเริ่มเรื่องด้วยฉากแอ๊คชั่นรัวๆเลย ไม่มีการปูพื้นอะไรๆใดทั้งสิ้น แน่นอนว่าใครไม่ได้ชมคลิป หรือ ดูหนังมาก่อน มีตึ้บแน่ๆ เอาเป็นว่ามันต่อ Captain America 2 ในแบบใกล้ๆเคียงเลยคือ ทีมอเวนเจอร์ กลับมารวมตัวกันและบุกฐานไฮดร้า ซึ่ง ไฮดร้าในภาคนี้กลายเป็นลูกกระจ๊อกไปเลย เมื่ออเวนเจอร์มันโหดสัส มันบุกกันมาแบบกูต้องยอมแพ้แน่นอน ซึ่งก็จริง ไฮดร้าแพ้ราบคราบ แต่ที่วินวินไปเลย หนูทดลองที่เขาสร้างคือ แฝดนรก แม๊กซิมอฟ

– Maximoff Twins –

ไอ้แฝดนรกสองคนนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสงคราม เขายอมเป็นหนูทดลองเพื่อจะสู้กับอเวนเจอร์ เพราะครอบครัวของพวกเขาตายจากการทำสงครามโดยโดนอาวุธของ Stark Industries ไปเต็มๆทำให้พวกเขาแค้นสุดโต่งและไม่เลือกจะมองด้านไหนนอกจากทำลายอเวนเจอร์ให้สิ้นทรากซึ่งช่วงครึ่งเรื่องแรกเราก็รู้ได้อย่างดีเลยว่าพวกเขาโหดสัสพอจะทำลาย ‘จากข้างใน’ ได้จริงๆ โดยคนน้องอย่าง วันด้า ได้สะกดจิตให้ทุกคนได้เห็นภาพหลอนกันอย่างครบถ้วน (ยกเว้น บาร์ตัน ที่ขอบาย เพราะกูโดนในภาคแรกมาแล้ว) หนังปูตัวละครสองคนนี้ได้ดี ดูน่าเชื่อถือ และดูไม่น่าจะเป็นตัวร้ายจริงๆ พวกเขาเป็นเพียงผู้ที่อ่อนแอ และ บาดแผลจากสงคราม ซึ่งงานนี้ทั้งเรื่อง สตาร์ค ต้องรับกรรมไปเต็มๆ ตั้งแต่ การกำหนด อัลตรอน , การจุดไฟให้แฝดนรกถือกำเนิด ซึ่งหนังได้ทดแทนในตอนท้ายด้วยการให้เขาสร้าง วิชั่น และ แฝดนรกได้เข้าทีมอเวนเจอร์ / แฝดพี่เสียดายมาก ตายเฉย เสียดายย โอ้ยย ทั้งเท่ เท่กว่า X-Men อีก มีตลกกำลังดี หล่อ โอ้ยยย เสียดายมาก , you see that coming T^T

– Ultron –

อัลตรอน เป็นตัวละครที่น่าสนใจกว่าโลกิมาก ส่วนตัวไม่ชอบโลกิ เพราะมันกาก มันพูดมาก มันอลังการ มันขี้โม้ แม้จะยอมรับว่ามันเจ้าเล่ห์และฉลาดมาก (ถึงขนาดทำให้ทีมอเวนเจอร์แตก แต่ในภาคนี้เราจะเห็นว่าทั้งหมดทะเลาะกันน้อยมาก แต่ถ้าทะเลาะคือตีกันเลย 55555) / เอาเป็นว่าอัลตรอน มันกำเนิดมาได้น่าเกรงขาม เสียงพากย์ James Spader มันเท่มากๆ มันกวนตีน มันร้ายกาจ มันดูเป็นมนุษย์มนา และ น่ากลัว ตรงที่มันไม่ใช่คน โดยหนังมอบประเด็นการกำเนิดของ อัลตรอน ให้ดูเข้มข้นว่าความงี่เง่าของโลกิ เพราะอัลตรอน มีความคิดที่ว่ามนุษย์จำเป็นจะต้องถูกทำลายเพื่อโลกน่าอยู่ขึ้น (ลักษณะคล้ายๆกับ Noah และ The Day The Earth Stood Still) คือการฆ่ามนุษย์แม่งให้ตายห่าให้หมด เพื่อให้โลกมันดีงาม ซึ่งนั่นก็จริง แต่อเวนเจอร์จะยอมไม่ได้ เลยต้องต่อสู้ น่าเสียดายที่หนังไม่ได้มอบประเด็นต่อยอดเลยว่ามนุษย์ก็สามารถปรับตัวได้เหมือนกัน

– Tony Stark –

ยังคงเป็น Avenger’s Effect อยู่เหมือนเดิมที่ Tony Stark เข้าไปในรูหนอนและปานิวเคลียร์ใส่ ซึ่งมันทำให้เขาหลอนมาแล้วใน Iron Man 3 ในภาคนี้เขาก็ยังไม่หาย เขาพยายามจะทำให้โลกปลอดภัยจากเอเลี่ยนด้วย AI ที่ชื่อ อัลตรอน เรียกได้ว่าเจ็บไม่จำ เพราะ Shield เพิ่งล่มสลายจากการพยายามสร้างเรือยักษ์ปกป้องโลกที่กลายเป็นสิ่งจะทำลายมนุษย์แทน ซึ่งใน Avengers 2 ก็ประเด็นเดียวกันเลย อัลตรอน แว้งมาทำร้ายมนุษย์แทน โทนี่ เลยเสียหลักไปเลย แต่ไม่เสีย ego เขาได้โอกาสในการสร้างอัลตรอนที่เขาต้องการจริงๆนั่นคือ vision นั่นทำให้เขาลบคำสบประหม่าที่เป็นตัวปัญหาได้แม้จริงๆก็ยังเป็นอยู่นั่นแหละ (ฮา) โดยรวมภาคนี้แกเด่นน้อยลงจริง ไม่ได้โชว์เดี่ยวแบบภาคก่อนเท่าไหร่นัก

– Captain America –

ภาคนี้คือไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย ออกโรงจำโล่แกได้มากกว่าหน้าแกอีก คือ มิติตัวละครแกมันไม่มีอะไรมาก ตอนโดนสะกดจิตเห็น เพ็กกี้ ยังงงๆอยู่เลยว่าแกมีปมอะไร หนังก็ไม่ต่อยอดนะ ต่างกับคนอื่นๆเลยที่นิมิตสำคัญกับจิตใจ แต่แกดูโหวงเหวง ไร้จิตใจ เย็นชา (เพราะโดนแช่แข็ง) แต่เราก็ได้เห็น คริส อีแวนส์ บวกกับ ไอรอน แมน เพื่อปูทางไป CAP 3 บ้างแล้ว ก็พอเห็นกันว่าสูสีพอสมควร สรุปภาคนี้ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำมาก

– Thor –

แกนี่ตัวแก้ปริศนาเลย และภาคต่อๆไปแกจะต้องเป็นตัวคลายปมหลายๆอย่างแน่ ทีแรกคิดว่า Iron Man จะสนิทกับ Vision , ธอร์เสือกเป็นเพื่อนก่อนเฉย เพราะวิชั่นถือค้อนได้กระมัง ธอร์เลยรีบชาบูเลย 5555 / ธอร์ก็ยังเป็นธอร์ คือเหนือมนุษย์ยังไม่เข้าใจกับปมในนิมิตที่เจอ รู้แต่ว่าเขาเป็นคนแก้ปมต่างๆมากมาย ทั้งการทำให้ Vision เกิด รวมถึงบิวต์เรื่อง Infinity Stone ทำให้แฟนบอย ขนลุกกันเกรียวกราว

– Hulk & Black Widow –

เห้ยยย ชอบกันตอนไหน ไมกูไม่รู้ คือความรักสองคนนี้มันเกิดตอนไหน ใน Avengers มันไม่ชัดเจน ภาคนี้มันบิวต์มางี้เฉย โดยรวมคือชอบฉากในบ้านบาร์ตันของทั้งสองมาก มันเศร้าสุดแล้วในหนัง ที่ แบนเนอร์บอกผมใช้ชีวิตปกติไม่ได้ มีลูกก็ไม่ได้ , นาตาชา บอกว่าเขาก็ทำหมันเหมือนกัน มันเป็นฉากที่ถูกชีวิตข้างหน้า ความเป็นผู้ใหญ่ ได้ดี / รู้สึกสงสารแบนเนอร์ทุกครั้งที่ต้องโกรธและแปลงร่าง แกจากไปแบบนั้นถือว่าดีสุดแล้ว / นาตาชาใหญ่มาก, จบ / ชอบฉากที่ hulk ต้องไปพึ่งสาวตัวเล็กๆเพื่อให้ใจเย็นลง ไปฉากเล็กๆที่สื่อถึงอารมณ์อ่อนไหวของคนได้ดีมาก

– Hawkeye –

หล่อสุด เท่สุด พระเอกสุด , หนังเปิดมิติให้เราเห็นครอบครัวบ บาร์ตัน , การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสุดๆ ความรักของเขา การไม่เปิดเผยตัวตนอะไรเลย แต่ก็ยอมบอกทีมเพราะความเสียสละสุดๆ แม้จะไม่อินเรื่องการไป การอยู่ เท่าไหร่ แต่คือภาคนี้เด่นจริงๆ ยังช่วยให้ แฝดน้องเข้าทีมอีกตะหาก (ฮามากที่บอกว่า และฉันก็มีธนูอย่างเดียว) สรุปภาคนี้บู๊น้อยสุด แต่ก็หล่อสุดเหมือนกัน

– Other Charracter –

Vision แม่งเท่สัสสุดเฟี้ยว พี่พอล แกเล่นได้ดี ดูชื่อว่าเป็นมนุษย์ผสมหุ่นยนต์ บิวต์แกให้ยิ่งใหญ่สุดๆ ด้วยการยกค้อนธอร์ คือยอมเลย แต่อยากเหมือนกันว่ายกได้ไง ใครรู้บอกที / ชอบที่เอาวิชั่นมาบวกกับ อัลตรอน สองเครื่องจักรผู้มีเป้าหมายคนละแบบ สู้กันแบบสุดตีนจริงๆ

Nick Fury แม่งผอมสัสภาคนี้ แลดูไม่มีไรกิน หลังจากชิวด์แตก / คิดถึงโคลสัน / ไม falcon ไม่มาบินโชว์มั่งเลย / war machine พูดมากจัง / peggy สวยมาก คงตั้งใจโผล่โปรโมท agent carter จริงๆ / Andy Serkis พอไม่โมแค็ปไม่มีรัศมีเลย มาแล้วแขนขาดฮา / Julie Delpy สวยงามมาก โผล่มาซีนเดียวแต่ชอบจัง before hitman 55555

– สิ่งที่ชอบ –

– แอ็คชั่นภาคนี้ service กว่าภาคก่อนมาก เริ่มมาก็ long take โชว์โหดเลย พอยิ่งมีตัวละครเยอะ และ ทีมแอ็คชั่นคิวบู๊ มันสร้างสรรค์ มันก็สร้างความแปลกใหม่ของแอ็คชั่นได้ตลอด จับเอาอะไรๆมาผสมกัน เช่น เอาค้อนธอร์ + โล่กัปตัน = ระเบิดแรงอัด อะไรเงี้ย คือมัน mix & match ได้ถูกจังหวะตลอดเรื่อง แอ็คชั่นมันขายได้จริงๆ แต่ภาคนี้มันเยอะมากมากมากมาก คือบวกการเยอะมาก เลยภาพจำน้อยจริงๆ ออกโรงมา ภาพเลือนหายไปเยอะเลย เหมือนดู TF4 ที่แบบ 165 นาที บวกกับอย่างเดียว ออกมา จำได้แต่ ลูกพระเอก 5555

– ชอบพัฒนาการตัวละคร , impact สำคัญคือนิมิตของทุกคน แต่ละอันทำดีนะ คือเอาตัวละครมาเล่นกันคุ้มดี โผล่กันมาสร้างสีสัน อย่างกะ marvel reunion เห็นแล้วแฟนบอยแต่ละเรื่องก็ฟินกันตามๆไป / หนังบิวต์ให้เห็นการแบ่งฝั่งแล้วด้วย เออเอาว่ะ cap 3 คงมันส์จริงๆ / hulk กับ black widow พัฒนาไกลสุดจริงๆ ชอบๆ

– ชอบมุขตลกภาคนี้ มันไม่ฮาแตกแบบปัญญาอ่อนแบบภาคก่อน มันมาพอดี ผสมผสานกับความเครียดได้เยอะอยู่ ถ้าเกิด Joss ไม่แคร์คนดูกลุ่มใหญ่ น่าจะจัดเครียดไปเลยนะ เสียดายอยู่ แต่ก็ได้อยู้

– ชอบ CGI ภาคนี้แม่งจัดเต็มมากๆ ทุกซีนดูสวยงาม ฉากสโลว์ยังน่าจดจำเหมือนเดิม , ซีนเมืองลอยแม่ง epic สัสๆ บอกเลย เก็บรายละเอียดดีงามมาก ถึงว่าผลาญ budget กันไปขนาดนั้น ก็คุ้มอยู่

– ชอบตัวละครใหม่ๆหมดเลย ตัวเก่ากลายเป็นของเล่นไปหลายคนเลย ทั้ง แฝดนรก , vision และ อัลตรอน ดูแล้วต้องชาบูจริงๆโดยเฉพาะ vision (ตอนชอบ scarlet witch สวยมากก) (ชอบเสียงพากย์ James Spader คือรู้ว่าต้องเป็นแกจริงๆ ทั้งตลก ทั้งโหด) / ลืมด็อกเตอร์เกาหลีไปได้ไง น่ารักแสด แต่ ! รอดหรอวะ โดนไปขนาดนั้น GG

– สิ่งที่ไม่ชอบ –

– sub plot หนังที่เยอะแยะมากมาย จนทำให้หนังดำเนินเรื่องไม่ทัน ไม่น่าตัดเลย คือน่าจะยัดฉาก sub plot พวกนี้แทนฉาก action ที่เฟ้อมากๆ จนเซอร์วิสคนดูเกินไปอยู่ ทำให้หนังมันขาดๆเกินๆ ไม่สุดไปในทางเนื้อเรื่อง / ประเด็นฆ่าล้างโลกดูไม่น่าเกรงขามเท่ากับ โลกิที่ตั้งใจจะถล่มเมือง คือมันไปไม่สุดจริงๆ ดูๆมานี่ยังจับประเด็นไม่ถูก ทั้งเรื่อง รหัสนิวเคลียร์ , การเอาแร่ไวเบรเนียมไปสร้าง ที่อยู่ๆก็เสร็จในเร็ววัน แถมเจาะไปทั้งเมืองด้วย โหดสัสมากๆ / ไหนจะเรื่องนิมิตในหัวฮีโร่ / การสร้างอัลตรอน / ช่วงเวลาการรวมตัว / เหตุการณ์การรวมตัวของชิวด์ มันถูกสร้างมาแบบ service คนดูจนไม่ให้เกียรติความน่าจะเป็นเท่าไหร่ เสียดาย ถึงแม้ว่าซีรีย์จะเกี่ยวกับหนัง แต่ก็น่าจะบิวต์หน่อย เพราะอย่างผมไมไ่ด้ดูเลย agent of shield , agent carter , daredevil เนี่ย

– ความเฟ้อตัวละครทำให้หนังมันระห่ำในการตัดไปตัดมามากมาย มีหลายๆตัวละครหายไปจนคนดูลืม แม้หนังจะพยายามแล้ว แต่ก็ยังคิดว่ามันน้อยไป มันเยอะๆ ขาดๆเกินๆ จนคิดว่าน่าจะเยาว 160 นาทีเหมือนตอนแรกอะดีแล้ว มันรอได้ ถ้าเกิดว่าทุกตัวมากันแบบฟินๆอะนะ (อย่าง vision ในตอนท้ายหลังจากกระเด็นแบบกากๆก็หายไปเกือบห้านาที ทั้งๆที่พี่แกนี่ตัวชูโรงเลย)

– ไม่ชอบ end credit แฮะ ที่เป็นหุ่ยนต์ รวมถึง intro ที่เป็นชื่อหหนังด้วย อ่านแทบมะออก ไม่รู้ต้องการสื่ออะไร แต่ชอบอันก่อนว่ามาก ดู epic กว่านะ อันนี้แล้วแต่คนชอบ

– ไม่ชอบตัวละครคุณแม่นมใหญ่ที่หนีมาอยู่ในยานแล้วเพิ่งบอกว่าลูกไม่อยู่ เหมือนไม่ได้อยากเลี้ยงลูกเลย ฮามากฉากนนี้ คิดมาได้ไง ดีนะให้อภัยเพราะนม กำโทษ

– เสียดายโลเคชั่นไม่ epic พอ คือภาคนี้มันออกไปในโทนวินเทจๆอะ เมืองในหนังมันทางยุโรปหมดเลย และฉากมันดูไม่น่าจะมันส์พอจริงๆ เสียดาย แต่ก็ยอมนะโลเคชั่นฉากเมืองลอยนี่ยอมจริงๆมันสวยงาม แต่โดยรวมถ้าเกิดยกเมือง new york ไรงี้แม่งจะระห่ำกว่าจริงๆ (แต่ส่วนตัวชอบโลเคชั่นที่เกาหลีนะ)

Avengers: Age of Ultron เป็นหนังที่สนุกจริงๆอีกเรื่อง แต่ต้องยอมรับว่ายังขาดๆเกินๆอีกเยอะ แต่ถามว่าสนุกไหม บอกเลยสนุกมาก ถึงมากที่สุด เป็นหนังที่น่าจะมันส์ในใจที่สุดรองจาก Kingsman ในปีเลย ฮ่าๆ แต่กระนั้นตั๋วราคา 100 บาทจาก student card ก็ทำให้รู้สึกว่าแม่งฟินสุดๆแล้ว ขอบอกว่าใครไม่ดูวันนี้พลาดแล้วจริงๆ เพราะพรุ่งนี้ มะรืน และอีกวันจะถูกกระห่ำด้วยคนดูแบบมหาประลัยจริงๆ

ปล.สุดท้ายชอบประเด็นที่อัลตรอนบอกว่าไม่ถูกการชักใยแล้ว หมายถึง ชาติอเมริกา และ อเวนเจอร์ที่ถูกชักใยการคนเบื้องบนต่างๆนานา เป็นประเด็นที่นำมาคิดต่อได้ดีจริงๆแหละ
ปล2.สกาเล็ตวิช เด็ดมาก ชอบมาก เสพ oldboy แปปอริอริ

 

• Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล

หนังโปรดของข้าพเจ้า

Avengers: Infinity War (2018) เข้าฉายแล้ววันนี้

ถ้าคะแนนหนังเพียว ๆ อย่างเดียวให้ 7.5/10 นะ แต่เราบวก 0.5 ให้พิเศษเพราะรู้สึกว่าการคุมหนังสเกลใหญ่ให้ออกมาไม่เละมันยาก ยังคงชอบ Captain America: Civil War (8.5/10) มากที่สุดในบรรดาหนังมาร์เวล เราคิดว่า Civil War มีส่วนดีมาก ๆ ในการสร้างความขัดแย้งแบ่งฮีโร่เป็นสองฝ่ายโดยใช้ประโยชน์จากการเติบโตของตัวละครในภาคต่าง ๆ ก่อนหน้า และมีตัวร้ายเป็นสายบุ๋นที่ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดพละกำลังความสามารถในเชิงกายภาพ แต่สำหรับ Infinity War มันคือบทพิสูจน์ว่าทำไมมาร์เวลถึงประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้ สิ่งที่จักรวาลหนังมาร์เวลสร้างมาตลอด 10 ปีถูกเก็บเกี่ยวนำมาใช้เพื่อรวมซูเปอร์ฮีโร่อย่างสมศักดิ์ศรี ตัวเด่น ตัวรอง พลังเว่อร์ พลังน้อย ล้วนมารวมพลังกันเพื่อปกป้องจักรวาล ซึ่งเราว่า Avengers เป็นงานที่ยากมาก ๆ เพราะหลายอย่างในหนังจะกำหนดทิศทางในอนาคตของจักรวาลหนังตัวเองด้วย มันไม่ใช่แค่เรื่องหนังที่จะจบไตรภาคแล้ว reboot ใหม่แบบสมัยก่อน (Batman, X-Men, Spider-Man) แต่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวโยงไปถึงสินค้าและความนิยมของแฟน ๆ การจะรักษาสมดุลให้หนังกับธุรกิจออกมาลงตัวได้จึงเป็นสิ่งที่ยากในสายตาเรา

พล็อตเรื่องสั้น ๆ คือ ‘ธานอส’ (Josh Brolin) ต้องการจัดระเบียบสมดุลจักรวาลด้วยการสังเวยชีวิตคนครึ่งจักรวาล แต่การจะทำสิ่งนั้นให้ได้ง่ายเหมือนดีดนิ้วเขาต้องสะสมอัญมณีทั้ง 6 ให้ครบเสียก่อน (ที่เห็นกันชัด ๆ อยู่ที่ วิสชั่น, ดร. สเตรนจ์, โลกิ) ดังนั้นเพื่อขัดขวางธานอส เหล่าอเวนเจอร์จึงต้องรวมพลพิทักษ์อัญมณีชิ้นที่เหลือไม่ให้ธานอสเอาไปครอบครอง

หนังแอ็คชั่นทั้งเรื่องของจริง สิ่งที่ทำให้เราชอบ Avengers แต่ละภาคน้อยกว่าหนังเดี่ยวของฮีโร่คือมันไม่ค่อยมีเวลาสำรวจการตัดสินใจของตัวละครหรือปมของตัวร้ายมากนัก (ไม่ใช่ว่าไม่ดี) ด้วยความเป็น Avengers สถานะของหนังจึงเป็นการรวมซูเปอร์ฮีโร่เพื่อทำภารกิจอะไรบางอย่างที่สำคัญ สำคัญขนาดต้องรวมทีม ยิ่ง Infinity War มีตัวละครเยอะมากขึ้นกว่า Avengers สองภาคก่อนหน้านี้จึงยิ่งเห็นความยากอีกขั้นในการเล่าเรื่อง แต่ Infinity War ก็สอบผ่านได้สบาย ๆ หนังสามารถเกลี่ยบทบาทให้ตัวละครได้อย่างเหมาะสม ไม่ถูกแซวแบบสมัยก่อนว่าเป็นหนัง Iron Man และผองเพื่อน จะว่าไปแล้วหลาย ๆ คนก็มีโมเม้นต์ปล่อยของเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับได้เป็นอย่างดี สิ่งที่เราแอบขัดใจอยู่นิดหน่อยคือการพยายามรักษาบุคลิกตัวละครเอาไว้ เช่นตัวไหนกวนก็ต้องกวนอย่างนั้น บางจังหวะมันกวนพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะแก๊ง Guardians of the Galaxy ทั้ง ๆ ที่หนังโดยรวมวางตัวเองในสถานะที่ซีเรียสจริงจังมากเกินกว่าจะมาโทนตลก (ส่วนความกวนของ Spider-Man ยังพอเข้าใจได้ว่าเด็กและจังหวะการเล่นไม่ได้รบกวนโทนหนังในภาพรวม)

อย่างไรก็ตามเรามองว่า Infinity War ไม่ได้เป็นก้าวที่พัฒนาขึ้นในทางใดทางหนึ่งของจักรวาลมาร์เวลสักเท่าไร หนังทำได้ดีในแง่จัดเต็มความสนุก, แอ็คชั่นบันเทิง, ตัวละครเยอะแต่ไม่เละเทะ เรียกว่าทำได้ตามมาตรฐาน แต่หลาย ๆ อย่างยังคงกั๊ก ๆ มีความไม่กล้าตัดสินใจกำจัด/ฆ่าตัวละครทิ้งในบางครั้งทั้ง ๆ ที่โอกาสเอื้ออำนวยและควรตายอย่างมาก บางทีการที่ตัวละครเหล่านี้พ่ายแพ้ธานอสแต่ไม่ตายมันเลยทำให้เรามองว่าหนังยังคงอิงความต่อเนื่องของจักรวาลหนังมากกว่าสถานการณ์ความสมเหตุสมผลในหนัง อีกทั้งลักษณะการต่อสู้ยังคงรูปแบบเดิม ๆ ไม่ได้มีการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ขึ้นมา บู๊กันเยอะมาก ทั้งสายเวทย์ สายบ้าพลัง สายระยะประชิด กระหน่ำมารัว ๆ แต่ไม่ชวนให้จดจำสักเท่าไร ดูฉากแอ็คชั่นจบแล้วจึงให้ความรู้สึก ‘ก็โอเคนะ’ แต่ไม่ถึงกับมีฉากชวนว้าว
.
ทั้งนี้ทั้งนั้นตอนจบนี่มันเตรียมพร้อมสำหรับปิด Phase 3 ได้(น่าจะ)ดี ระหว่างนี้ก็รอดู Ant-Man and the Wasp กับ Captain Marvel คั่นเวลาก่อนดูการปิด Avengers (ที่ยังไม่เปิดเผยชื่อภาค)ไปก่อนละกัน
edit เพิ่มเติม

ป.ล. 1 Infinity War มันมีความเป็นซีรีส์ขนาดสั้นแบ่งเป็นตอน ๆ มากกว่า อารมณ์เลยเหมือนดูฉากแอ็คชั่นหั่นเป็นฉากแยกไปเรื่อย ๆ หนังเลยเหมือนคุมสเกลได้ดีเพราะไม่ต้องเอาทั้งหมดมารวมกันขนาดนั้น

ป.ล. 2 การพยายามบิ๊วดราม่าความรักในภาคนี้ดูเล่นง่ายไปหน่อย อาจจะเพราะหลายคู่ใน Infinity War ไม่ได้มีความสัมพันธ์ระหว่างกันก่อนหน้านี้มากขนาดนั้น การอยู่ดี ๆ ก็เล่นใหญ่รักกันปานจะกลืนกินจึงดูไม่ค่อยน่าเชื่อเอาเสียเลย ผลคือเราก็ไม่ได้อินอะไรกับพวกนี้ ยิ่งของตัวร้ายนี่อาศัยการแสดงช่วยล้วน ๆ

Directors: Anthony Russo, Joe Russo

screenplay: Christopher Markus, Stephen McFeely

Genre: action, adventure, fantasy

8/10

 

• Avengers Endgame (2019) อเวนเจอร์ส เผด็จศึก

Kanin The Movie

AVENGERS: ENDGAME (2019) คุณค่าแห่งเวลานับทศวรรษ

(เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์)

หลังดูจบก็พูดได้แค่ว่า “นี่แหละครับ ผลลัพธ์ของการสร้างจักรวาล” ในโลกภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความพยายามในการสร้าง Universe บ้างประสบความสำเร็จ บ้างล้มเหลว ซึ่ง MCU น่าจะเป็นจักรวาลเดียว (สำหรับเรา) ที่มีโครงสร้างแข็งแรง และส่งอิทธิพลต่อองค์รวมภาพยนตร์(ในจักรวาลนั้น)มากๆ มันไม่ใช่แค่ว่าผู้สร้างเขาเชื่อมโยงต่อเนื่องเรื่องราวได้ดีแค่ไหน แต่จักรวาลมันยังสร้างการตระหนักถึงความสำคัญในการมีอยู่ของมันด้วย เราไปดูหนังมาร์เวลเพราะหนังมาร์เวลมันเป็นจักรวาล มันมีความก้าวหน้าของเรื่องอยู่เสมอ แม้ว่าหนังนั้นๆอาจจะไม่ได้สนุกหรือถูกใจ แต่การสร้างความสัมพันธ์ต่อหนังกันและกันมันทำให้เราเสพติดและต้องไปดูให้ทันเหตุการณ์อยู่ดี หรือกระทั่งฉากหลัง End-Credit ที่กลายเป็นกิมมิคสำคัญ ก็ทำให้ผู้ชมต้องไปตามอย่างใจจดใจจ่อว่าสุดท้ายแล้ว เรื่องราวของไอ้พวกนี้มันจะส่งไม้ต่อไปยังเรื่องราวอื่นอย่างไร และทำไม

การที่มาร์เวลมันวางโครงสร้างแบบนี้มาอย่างดีตลอด 10 ปี มันทำให้ Avengers: Endgame ทำงานความรู้สึกกับผู้ชมมากๆ เพราะในขณะที่ Infinity War พาผู้ชมไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆในสงครามอัญมณี Endgame มันทำหน้าที่เป็น “บทส่งท้าย” เรื่องราวในอดีตแทน เป็นการสรุปรวบยอดความรู้สึกและความผูกพันนับทศวรรษของคนดูที่มีต่อหนังชุดนี้ ซึ่งเราชอบมากๆ ในขณะที่หนังมาร์เวลเรื่องผ่านๆมามักจะพาคนดูไปพบกับอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ การมีอยู่ของ Endgame คือการกลับหลังหัน ย้อนไปยังเหตุการณ์เดิมที่ผู้ชมรู้ดีอยู่แล้วแต่สร้างมิติและความหมายใหม่ให้เกิดขึ้นคุณค่าทวีคูณขึ้นไปนับเท่าตัว – การได้เห็นเหตุการณ์นิวยอร์กถล่มใน The Avengers (2012) ฉากเปิดสุดฮาใน Guardians of the Galaxy (2014) หรือกระทั่งการกลับไปเจอคนที่รักที่ผูกพันเพื่อสื่อสารกับเขาในทิศทางที่เปลี่ยนไป (ซึ่งหนังยึดหลักสามตัวละคร โทนี่ สตีฟ และ ธอร์ เป็นตัวเล่าเรื่อง) ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนดูอินกับภาคนี้มากๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าตลอด 20 กว่าเรื่องในช่วงเวลา 11 ปีที่ผ่านมา มันมีความหมายในตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น หนังชิลๆเรื่อยๆอย่าง Ant-Man and The Wasp (2018) ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อ Endgame อะไรงี้ คือวิธีวางโครงสร้างเชื่อมมันไปมา ทั้งเรื่องของ Infinity Stone เอย ความสัมพันธ์ตัวละครเอย มันถูกจัดระเบียบมาดีมากๆ และเห็นภาพชัดที่สุดในเรื่องนี้

ชอบชั่วโมงแรกของ Endgame มากๆ ถ้า Infinity War มันพูดถึง “ราคา” ที่ธานอสต้องจ่ายในการสำเร็จภารกิจ Endgame มันก็พูดถึงราคาที่พวกยอดมนุษย์ต้องชดใช้หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ – มันไม่มีฉากต่อสู้ใหญ่โต ไม่มีการปูเรื่องระทึกตื่นเต้น เป็นเพียงแค่ชีวิตของยอดมนุษย์ที่ต้องอยู่กับความผิดพลาดของตัวเองมานาน 5 ปี พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพร่ำบอกกันเองหรือบอกต่อคนรอบนอกให้ก้าวข้ามผ่านอดีตเหล่านี้ไป สถานะอเวนเจอร์สจึงเป็นเพียงหน่วยพิทักษ์ที่กำลังอัมพาต โลกไร้ซึ่งภัยร้าย ไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น แถมระบบนิเวศน์ต่างๆก็เหมือนจะกลับมาดีด้วยซ้ำ (จากการลดจำนวนประชากรไปครึ่งหนึ่ง) บรรยากาศในช่วงแรกของหนังชวนให้นึกถึง Watchmen (2009) กับ Logan (2017) มากๆ คือเป็นโลกที่ยอดมนุษย์ไม่ถูกต้องการอีกต่อไปแล้ว พวกเขาพยายามจะออกไปใช้ชีวิตปกติ พยายามจะเริ่มต้นใหม่ (แบบที่บอกกับคนทั่วไปๆ) แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เพราะความค้างคาใจและสายเลือดความเป็นซุปเปอร์ฮีโร่มันยังคงไหลเวียนอยู่ไม่เสื่อมคลาย

การที่ Avengers: Endgame เลือกเล่าแบบนี้แน่นอนว่าลดทอนความสนุกของเรื่องภาพรวมไปบ้าง แต่ส่วนตัวกลับมองว่าวิธีนี้แหละคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หนังมันออกมา อิ่มเอม และ emotional มากๆ การคืนความเป็นคนความเป็นมนุษย์ให้กับพวกเขา ทำให้พวกเขากลายเป็นคนแพ้ เจ็บปวด อ่อนแอ มันทำให้การคัมแบคลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งเลยสำคัญต่อความรู้สึกมากๆ และในอีกทางนอกจากเราจะไม่แน่ใจในความสามาถของพวกเขาแล้ว เรายังต้องมาเผชิญกับจุดพลิกผันสำคัญที่เล่นกับความเป็นมนุษย์มีหัวจิตหัวใจในเรื่องอีกด้วย ซึ่งหนังมันก็วางกรอบ แบ่งสัดส่วนเอาไว้ดีหมดเลย พาร์ทที่ไป Time Heist นี่น่าจะเป็นเซ็ตตัวละครที่ดีงามที่สุดครั้งหนึ่งของ MCU คือไม่เพียงแต่แบ่งเอาไว้ต่อยอดความสนุกและตลกเท่านั้น ในแง่ของบริบทและความเปรียบเหมือนกันของตัวละครก็ถูกรวมกันอย่างสร้างสรรรค์ด้วย คือดูแล้วรู้เลยว่าตัวเลือกก่อนหน้าที่จะมาเป็นแบบนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการดีดนิ้ว มันผ่านการคัดสรรค์สลับกันไปมาเยอะมากๆ ก่อนจะออกมาแบบนี้ คือตัวละครหลักไม่เท่าไหร่ เราชอบที่เขาให้ความสำคัญกับตัวละครเล็กๆหรือสำคัญเป็นรองมากกว่า อย่าง นาตาชา-บาร์ตัน นี่ดีมากๆ หนังมันไม่ใช้แวดล้อมเป็นจุดเชื่อมโยง แต่ใช้ความรักและมิตรภาพเป็นส่วนร่วมกัน ในขณะที่คู่ เนบิวล่า-โรดี้ ก็มีเรื่องของความเปราะบางทางร่างเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจจะไม่ชัดเจน แต่วิธีแมชมันนี่เวิร์คจริงๆ รู้สึกว่าพวกมึงควรไปด้วยกันจริงๆนั่นแหละ

การที่หนังใช้พล็อตย้อนเวลานอกจากจะกวนตีนและกล้าหาญมากๆในการพูดถึงมิติและกฎเกณฑ์ของการ “ย้อนเวลา” ด้วยการทำลายความเป็นไปได้ที่ภาพยนนตร์เรื่องอื่นๆเคยเคลมถึง หนังยังทำให้การย้อนเวลาเป็นเหมือน ไทม์แมชชีน ของผู้ชนอีกด้วย การได้ย้อนกลับไปเจอบุคคลหรือเรื่องราวอันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตเหล่าฮีโร่มันให้ความรู้สึก Nostalgia ได้ดีมากๆ คือถ้าเป็น Flashback ย้อนมาอาจจะไม่ได้รู้สึกเท่าขนาดนี้ เพราะนี่มันคือตัวเขาในปัจจุบันที่ย้อนกลับไปหารากเหง้าเดิมเพื่อเติมเต็มส่วนที่หายไป ทั้งโทนี่กับพ่อ ธอร์กับแม่ หรือสตีฟกับคนรัก ไอ้ปมเรื่องราวเหล่านี้พอมันถูกทำซ้ำอีกครั้งในบทสรุปภาพยนตร์เราก็อินฉิบหายทันที โดยเฉพาะการที่พวกเขากลับไปในฐานะผู้ล้มเหลวและกำลังหลงทาง ไม่รู้จะเอายังไงดีกับชีวิตต่อไป ซึ่งกลายเป็นว่าไอ้ความเป็นอดีตรากเหง้านี่แหละที่เป็นคำตอบของการค้นหาตัวเอง – เลยกลายเป็นว่าไอ้พล็อตย้อนเวลานี่เองมีฟังก์ชั่นกับเรื่องครบถ้วนมากๆ ประหนึ่งกาแฟ 3 in 1 คือย้อนไปครั้งเดียว เล่าทั้งข้างหลัง ข้างหน้า และตรงกลางได้หมดเลย เก่งจริงๆ ยอมวิธีการเล่าแบบนี้มากๆ

สิ่งที่ดีอีกอย่างของ Endgame คือพวกมุกตลก มันใช้ความ Nostalgia มาสร้างสรรค์เยอะมากๆ การที่เหล่ายอดมนุษย์เติบโตเป็นคนละคนกับในอดีตและต้องกลับมาเจอตัวเอง มันทั้งสนุก ตลก และอบอุ่นในเวลาเดียวกัน และมันยังมีเรื่องของการล้างบาป การไม่ทำผิดพลาดเหมือนที่ผ่านมาด้วย มุกที่ฮัลค์ไปเจอตัวเองในนิวยอร์ก 2012 หรือที่ กัปตัน พูดเฮลไฮดร้านี่ดีหมดเลยอะ คือนอกจากมันจะเติมเต็มความรู้สึกสะใจของคนดูแล้ว (แบบ ต้องงี้ดิวะไอ้เหี้ยยยยย) มันยังทำให้เรารู้สึกว่า เออ พวกเขาโตกันพอสมควรนะ ตอนดูหนังฮีโร่ที่ผ่านๆมาไมไ่ด้รู้สึกแบบนั้น มารู้สึกตอนดู Endgame นี่แหละ พอเขาย้อนกลับไปอดีต ไปเจอจุดเริ่มต้นของพวกเขาเราเลยรู้สึกว่ามันเป็น long journey ประมาณหนึ่ง โดยเฉพาะกับพวกตัวละครเซ็ตหลักแบบ โทนี่ ธอร์ กับสตีฟ เนี่ย มาไกลกันหมดเลย , อีกอย่างที่ชอบคือพอมันย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์เดิม เขาก็เติมตัวละครที่พูดถึงหลังจากนั้นใส่ไปด้วย ทีมชิล์ดไฮดร้าในตึก Stark Tower นี่โคตรสนุก คือนอกจากเราจะได้เห็นฮีโร่หลังท่าเผด็จศึกแล้ว (ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นกันไง) เรายังได้เห็นว่าไอ้ตัวะครพวกนี้มันวนเวียนไปมาในโลกของเขาก่อนหน้านั้นด้วย คือนอกจากจะ fan service แบบหนำใจ (ชนิดที่เราไม่ใช่แฟนก็ยังประทับใจ) มันยังต่อเติมจิ๊กซอว์เข้าไปในให้ภาพขยายขึ้นกว่าเดิมอีกประมาณหนึ่งด้วย

ชอบความดราม่าของเรื่องนี้มากๆ จริงๆสเกลแอคชั่นกับสเกลดราม่าอาจจะเท่าๆกันเลยด้วยซ้ำมั้ง เกือบครึ่งแรกแทบไม่มีอะไรตื่นเต้นเมามันส์มากไปกว่าการสำรวจตัวละครในหลายๆมิติ (ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังฮีโร่ผ่านๆมาของเขาทำได้ไม่เยอะมากนัก) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือการพบว่านักแสดงที่เราเห็นหน้ากันมาเกือบทศวรรษ เพิ่งจะมาปล่อยสกิลตัวเองจริงๆก็ภาคนี้แหละ เพราะพื้นที่มันเอื้ออำนวยให้ปล่อยของกันมากๆ ซัดดราม่ากันกระจาย ซึ่งอยู่ในเลเวลที่บาลานซ์กำลังดี คนที่เราชอบมากๆคือ สกาเล็ตต์ ในบท นาตาชา เป็นตัวละครที่นอกจากจะมาไกลแล้ว ใน Endgame เธอยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของความ emotional ต่อเรื่องด้วย เอาจริงๆเราชอบเซ็ตติ้งตัวละครเกือบทุกคนในหนังหมดเลย โดยเฉพาะ นาตาชา กับ บาร์ตัน นี่แหละไอ้ราคาที่ต้องจ่ายไปกับการสูญเสียและความล้มเหลวมันกินกันไม่ลงในฉากนั้นจริงๆ

จริงๆก็แอบแปลกใจที่ภาคนี้เขาลดบท ธานอส ลงไปเยอะมาก แต่ก็อาจจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เราเห็นชีวิตของเหล่าอเวนเจอร์สได้อย่างลุ่มลึกที่สุด และก็เป็นเรื่องแฟร์หากเราจะบอกว่าภาค Infinity War เป็นเรื่องของเขา ส่วนภาคนี้เป็นเรื่องของอเวนเจอร์ส กระนั้น เราก็ยังชอบสถานะที่เขาวางให้ ธานอส ไม่ได้เป็นวายร้ายอยู่ดี (อย่างน้อยๆก็ในมุมของเรา) คือท้ายที่สุดมันก็เรื่องของความเชื่อและอุดมการณที่ต่างฝ่ายต่างมีของตัวเอง อเวนเจอร์สก็มีมุมหนึ่ง ธานอสก็มีมุมหนึ่ง ซึ่งเราชอบที่ Infinity War มันพูดถึงราคาที่ ธานอส ต้องจ่ายในการพิชิตเป้าหมาย ทั้งความสูญเสีย เจ็บปวด ประหนึ่งเขาคือยอดมนุษย์คนหนึ่ง ในขณะที่ Endgame ก็พูดถึงราคาที่ อเวนเจอร์ส ต้องจ่ายเช่นกัน (อย่างที่บอกไป) ความน่าสนใจคือ effect ของการดีดนิ้วยังถูกพูดถึงในนัยยะดีต่อเรื่องด้วย การคืนระบบนิเวศน์ในทิศทางที่ดีเพราะประชากรคนลดลงเป็นประเด็นที่น่าสนใจของหนัง เอาจริงๆอยากดูหนังภาคแยกที่พูดถึงโลกหลังดีดนิ้วมากๆว่าชีวิตคนนั้นเป็นอยู่อย่างไร อาจจะไปถึงจุดที่พวกเขารู้สึกยินดีต่อการหายไปของใครสักคนก็ได้ คือมันเป็น material ในการต่อยอดที่ดีมากๆ แต่ก็ไม่รู้นะว่าเขาจะทำมั้ย (จริงๆเป็นหนังสั้นก็ได้นะเออ 555)

โดยรวมที่เราชอบ Avengers: Endgame มากๆ ทั้งๆที่เราไม่ได้เอนจอยกับหนังมาร์เวลยุคหลังสักเท่าไหร่แล้ว แต่การมาของภาคนี้ซึ่งเป็นเหมือบทสรุปกึ่งหนึ่งของจักรวาล มันทำให้เราอิ่มเอม มีความสุข และตื้อตันไปกับความผูกพันตลอดเวลาทศวรรษหนึ่งได้ดีจริงๆ คือถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตามเป็นจริงเป็นจัง หรือกระทั่งคอมมิคก็ไม่เคยอ่าน แต่ในฐานะคนดูหนังคนหนึ่ง การสร้างจักรวาล Marvel Cinematic Universe มันยิ่งใหญ่และมีความหมายต่อนดูหนังทั่วโลกจริงๆ ซึ่งเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยจนกระทั่งมีภาพยนตร์อันเป็นบทสรุปรวบยอดเนื้อหาทั้งหมดแบบ Endgame นี่แหละ ที่เป็นการชี้วัดกันไปเลยว่าไอ้โครงสร้างที่วางในหนัง 20 กว่าเรื่องมันจะทำงานต่อคนดูอย่างไร (ซึ่งเราๆก็เห็นอยู่แล้วว่ามันทำงานได้ดีโคตรๆอย่างไร)

แน่นอนว่าหนังมีปัญหาแวะเวียนมาตลอดทั้งเรื่องแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประสบการณ์ครั้งแรกในโรง ความเซอร์ไพรซ์ เอาใจคนดู หรือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงมันทำให้เราข้ามข้อเสียเหล่านั้นไปได้โดยไม่ติดใจอะไร ซึ่งวันหยุดนี้ว่าจะไปดูอีกรอบแบบ IMAX และอาจจะมาเขียนถึงให้อ่านกันอีกครั้งในบทความหน้าๆครับ

AVENGERS: ENDGAME (dir. Anthony Russo, Joe Russo) – 8.5/10

 

รวมหนัง Avengers

The Avengers (2012) อเวนเจอร์ส

Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก

Avengers Infinity War (2018) อเวนเจอร์ส มหาสงครามล้างจักรวาล

Avengers Endgame (2019) อเวนเจอร์ส เผด็จศึก