KUBHD ดูหนังออนไลน์ อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก
เรื่องย่อ
เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ปี 2015 และเป็นภาคต่อของ Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง กำกับและเขียนบทโดยจอส วีดอน และอำนวยการสร้างโดยมาร์เวล สตูดิโอส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นภาคที่ 11 ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) และเป็นการกลับมารวมตัวของเหล่าฮีโร่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก
Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก เมื่อโทนี่ย์ สตาร์กได้ริเริ่มโปรแกรมรักษาความสงบและปกป้องสันติภาพของโลก สิ่งที่เกิดขึ้นดูจะผิดพลาดไปเป็นเหตุให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ผู้กล้าของโลกนี้ที่ประกอบไปด้วยไอรอน แมน, กัปตันอเมริกา, ทอร์, ฮัลค์, แบล็ค ไวโดว์ และฮอร์ค อายส์ พวกเขาทั้งหมดได้เข้าสู่สุดยอดการทดสอบโดยมีชะตากรรมของดาวดวงนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย ด้วยการปรากฏตัวของอัลตรอน ทำให้ทีมอเวนเจอร์สต้องช่วยกันหยุดยั้งเขาจากแผนการอันชั่วร้ายนี้ การร่วมตัวกันที่ไม่ใช่เรื่องง่ายและสุดจะคาดคิดในไม่ช้านี้จะเป็นการปูทางไปสู่การผจญภัยทั่วโลกอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ดูหนัง ออนไลน์
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก หนังประเภท Action บู๊ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี ดูหนัง ออนไลน์ หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
จอสส์ วีดอน
บริษัท ค่ายหนัง
มาร์เวล สตูดิโอส์
นักแสดง
- โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์
- คริส เฮมสเวิร์ธ
- มาร์ค รัฟฟาโล
- คริส อีแวนส์
- สการ์เล็ต โจแฮนสัน
- เจเรมี เรนเนอร์
- ดอน ซีเดียล
- แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน
- เอลิซาเบธ โอลเซน
- พอล เบตตานี
- โคบี้ สมัลเดอร์ส
- แอนโธนี แม็คกี้
- เฮย์ลีย์ แอตเวลล์
- ไอดริส เอลบา
- สเตลลัน
- สการ์สการ์ด
- เจมส์ สเปเดอร์
- แซมมูเอล แอล. แจ็กสัน
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
รีวิวหนังให้คนดู
Avengers 2 Age of Ultron (2015) อเวนเจอร์ส มหาศึกอัลตรอนถล่มโลก ให้คะแนน 6.5/10
ดูนานแล้ว แต่ขอรีวิวหน่อยละกันครับ
เป็นเนื้อเรื่องต่อจากไอรอน 3 ครับ
-ด้านเนื้อเรื่อง มันขาดเสน่อะไรหลายอย่างไปนะภาคนี้ผมว่า แต่การแบ่งบทฮีโร่ทำได้ดี หนังพยายามยัดความดราม่าเข้ามา แต่เนื่องจากตัวร้ายภาคนี้ไม่มีเสน่เลย ทำให้บทอ่อนลงเยอะครับ ไม่ใช่การแสดงหรือเสียง แต่เป็นที่ตัวบทตัวร้ายนั่นเองที่อ่อนไป
-การแสดง ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ภาคนี้เจเรมี่ จะเด่นเป็นพิเศษ แต่คนก็ยังชอบมองว่าดาวนี่ เป็นพระเอกซะส่วนใหญ่ ทำให้บทเจเรมี่ดูอ่อน
-ด้านภาพ ที่ไม่ชอบคือการปล่อยตัวอย่างมาเยอะมากๆ ทำให้ฉากแอคชั่นดูในหนังไม่ค่อยพีคนัก ถ้าเทียบกับภาค1
โดยรวมแล้วผมว่าจุดบกพร่องหลายอย่าง แต่ถ้าดูภาคนี้แล้วไปดูภาค1น่าจะได้ความบันเทิงกว่า
Wasant Tong Suthanyaphruet
[Movie Review] – Avengers: Age of Ultron (2015)
บทความนี้ขอแบ่งความเห็นเป็นสองส่วน เพื่อแสดงทัศนะความเป็นผลงานนี้แบบต่างมุม ทั้งการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องหนึ่ง กับการเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์คุณภาพ ส่วนหนึ่งเพราะ Marvel Studios ได้สร้างมาตรฐานเอาไว้คนละลักษณะในผลงานก่อนหน้า กล่าวคือ Iron Man (2008), The Avengers (2012), Iron Man 3 (2013) และ Guardians of the Galaxy (2014) ต่างยอดเยี่ยมทุกองค์ประกอบ รวมถึงบทภาพยนตร์และการกำกับที่ดี ผลงานรองมาก็เป็น Captain America: The First Avenger (2011) ที่บทหนังดีแต่กำกับยังไม่โดดเด่น และ Captain America: The Winter Soldier (2014)
ที่บทหนังแผ่วปลายแต่กำกับได้น่าทึ่งจนเซอร์ไพร์ส ถัดมาคืองานขายบันเทิงเน้นๆอย่าง Thor (2010) และ Thor: The Dark World (2013) ที่ชัดเจนว่าเป็นรองด้านเนื้อหากว่าใคร ..ถึงตรงนี้หลายคนคงพอมองเห็นแล้วว่า Marvel Studios ครีเอทแต่ละงานจากคาแร็กเตอร์ที่สัมพันธ์ต่อกลุ่มเป้าหมาย เช่น Tony Stark เป็นตัวละครมนุษย์ที่มีมิติสูงทั้งภายนอกและภายใน บทหนังก็ต้องรองรับในจุดนี้ หรือฉลาดตามไปด้วย Iron Man 1 กับ 3 จึงเป็นงานดูเอาสนุกก็ได้ อีกทั้งยังให้สาระแฝงจนคนดูรุ่นเล็กเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ เพราะมีลักษณะของความเป็นหนังสำหรับผุ้ใหญ่ จนฉากแอ็กชั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่มีเพื่อรองรับนัยยะสำคัญๆหลายครั้งอยู่ในที ( The Avengers ขอโยนไปไว้ย่อหน้าถัดไป) ส่วนผลงาน Guardians of the Galaxy ก็เหมือนจะเป็นเพียงการรวมฮีโร่นอกคอกธรรมดา แต่นำเสนอได้ละเอียดและลุ่มลึกจนชนะใจนักวิจารณ์ ถึงขั้นเป็นม้ามืดเข้าชิง Best Adapted Screenplay ถึง 2-3 สถาบันสำคัญ.. เรื่องที่เหลือขอข้ามผ่านไป เพื่อเข้ารีวิวสักทีแล้วกันเนอะ เกริ่นอะไรนักหนานิ!!
#สำหรับคนดูทั่วไปและติ่งมาเวล ในส่วนของความบันเทิงถือว่า Avengers: Age of Ultron ตั้งใจสนองความอยากเห็น 8 ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหน้าเก่าและใหม่ สาดพลังแอ็กชั่นใส่กันเองและเหล่าศัตรู ชนิดฟินเกินค่าตั๋วไปเยอะเลยทีเดียว Marvel Studios คิดค้นช็อตใหม่ๆล้ำๆมาเป็นกระบุงจนมองตามแทบไม่ทัน งานเทคนิคด้านภาพกระแทกใส่ผุ้ชมจนใจเต้นรัว แม้จะกระหน่ำแยะจนตาลายไปบ้างก็ตาม นอกจากนี้การดีไซน์ตัวละครและบรรยากาศก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ของ Joss Whedon ที่ถ่ายทอดความวายป่วงออกมาได้น่าติดตาม
ราวกับทำงานนี้โชว์ผุ้กำกับหนังหุ่นยนตร์ขี่ไดโนเสาร์ ที่สักแต่ยัดทะนานเข้ามาให้ล้นแล้วล้นอีก จนคลื่นเหียนอาเจียนแทบพุ่งเลอะเทอะเก้าอี้โรงหนัง ..นอกจากนี้การแคสติ้งตัวละครใหม่ๆอย่าง Elizabeth Olsen เพื่อเป็น Wanda Maximoff หรือ Scarlet Witch ก็ช่วยเพิ่มน้ำหนักเรื่องราวได้ดี ทุกฉากขายฝีมือการแสดงไม่แพ้หน้าตา รวมถึงดาราสาวชาวเกาหลีอย่าง Claudia Kim ในบท Dr. Helen Cho ก็ออกน้อยแต่ได้(ใจ)เยอะ จนสื่อขนานนาม “คุณหมอจอมขโมยซีน” ไปแล้ว เสียดายก็แต่ Aaron Taylor-Johnson ในบท Pietro Maximoff หรือ Quicksilver ที่โดนมองข้ามกว่าน้องสาวพอสมควร และท้ายสุดก็ไม่อินอย่างที่ควรในบทสรุป แต่ใครก็ไม่อาการหนักเท่า Paul Bettany ในบท Vision ที่หากเคยชมผลงานเก่าๆ จะจับได้ว่าแอ็กติ้งส่วนตัวเต็มๆ จนเห็นแล้วหงุดหงิดเหลือเกินจริงๆ เฮ้อออ.. แค่เอามาทาสีหน้าชัดๆ
#สำหรับคนดูทั่วไปที่คาดหวังในมาตราฐานเก่า ค่อนข้างน่าตกใจกับการที่ Avengers: Age of Ultron กลายเป็นงานหนักมือจนดูบ้าพลังของ Joss Whedon ผุ้กำกับที่หลายคนปรวนาตัวเองเป็นสาวกจาก The Avengers ที่เป็นบทพิสูจน์ความสามารถทั้งการกำกับและเขียนบท เพราะหากเรารับชมด้วยการพินิจพิเคราะห์จะพบว่า ภาคแรกมีความใส่ใจในการดำเนินเรื่องค่อนข้างสูง และมีความแม่นยำในจังหวะของการกำกับระดับดีเยี่ยม แตกต่างกับงานนี้ที่ออกแนวโฉ่งฉ่างและฉาบฉวยขึ้นมาก ง่ายๆแค่มุกตลกฉลาดๆแบบภาคแรกยังหาไม่เจอในภาคนี้ กลับกลายเป็นมุกชั้นเดียวแบบให้เด็กๆเก็ตได้ไปแทน.. นอกจากนี้ยังไม่มีการต่อยอดปมเก่าๆของตัวละคร ที่อาจช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวให้เข้มข้น เช่น Tony Stark ที่พยามเลิกเป็น Iron Man ในภาคสามที่หากหยิบมาใช้
หนังช่วงแรกน่าจะดราม่ามากพอ ก่อนจะคิดสร้าง Ultron เพื่อทดแทนตัวเองด้วยความุมานะและผูกพันต่อกันในระดับนึง ก่อนที่สมองกลอัจฉริยะจะเรียนรุ้ในสิ่งที่ไม่ควร คือความเลวร้ายของมนุษย์และอดีตของผุ้สร้างตนเอง มันก็จะกลายเป็นความดาร์กในเนื้อหา อันนำมาสู่สงครามระหว่างสองฝ่าย แต่สิ่งที่พบเจอคือคล้ายโยนๆเส้นเรื่องเข้ามาไวแล้วรีบเร่งผ่านไป เพื่อนำเสนอแอ็กชั่นที่เตรียมไว้อย่างต่อเนื่องซะมากกว่า หลายเหตุการณ์สำคัญในเชิงอารมณ์มันเลยไม่คล้อยตามมากนัก ทั้งความเกลียดชังมนุษย์และผุ้สร้างของ Ultron, ความโรแมนซ์ของ Natasha กับ Bruce, ความผูกพันระหว่างกันของ Wanda กับ Pietro, ความรักของ Clint Barton กับครอบครัว และ บลาๆๆ เพราะหนังมีสิ่งให้โฟกัสเยอะแต่ไม่ต่อยอดจริงจัง ตรงข้ามกลับเอาความสัมพันธ์ของตัวละครมายั่วคนดู
เกี่ยวกับข่าวลือที่หลุด(หรือเจตนาปล่อย)ออกมาว่าภาคนี้จะมีตัวละครเสียชีวิต จนเห็นได้ชัดว่าหนังมัวเสียเวลากับการหยอกเย้าเป็นระยะให้คาดเดาตามทฤษฏีการเขียนบทว่า “ไอ้นี่ หรือ นางนั่น แน่นอน.. เพราะบทหนังมันบิ้ลๆเหลือเกิน !!!” ก่อนจะมาขมวดทั้งหมดรวมกันในไคล์แม็กซ์เพื่อให้ลุ้นๆว่าใครคือผุ้แจ๊กพ๊อต ซึ่งก็ลงเอยว่าเป็นตัวหลอกอีกที มองแง่นึงก็ถือว่าหักมุมได้ดีโดยใช้สูตรสำเร็จเดิมๆมาทำให้ไขว้เขว แต่อีกมุมหนึ่งถือว่าผุ้สร้างพยามอวดฉลาดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเกินไป แทนที่จะเอาเวลาไปพัฒนาเรื่องราวสำคัญๆให้ดุดีมีทรงแบบผลงานชั้นดีที่เคยๆทำไว้ กลับกลายเป็นเลือกวาง Avengers: Age of Ultron อยู่ในหมวดเดียวกับเรื่องอื่นๆ เพียงแต่มอบงานวิชวลขั้นสุดเข้ามามากขึ้นก็เท่านั้น……
สรุปส่วนตัวก็ตามคาดนะ คือบทภาพยนตร์ขาดคลาสให้รุ้สึกต่างจากภาคแรก(ที่ยิ่งดูยิ่งชอบ) ทั้งชั้นเชิงการเล่าเรื่อง การให้สาระแง่คิด หรืออารมณ์ขันชั้นดี บลาๆๆ ส่วนนึงเพราะเลือกหนักมือกับแอ็กชั่น เป็นเหตุให้โครงเรื่องและการตีความประเด็นสำคัญๆแผ่วจนใจหาย.. อย่างไรก็ดีภาคนี้ก็มอบงานวิชวลด้านภาพใหม่ๆระดับโลกไปอีกขั้น จนหลายฉากทำเอาสบถเสียงดังว่า “แม่เจ้าโว้ย!! (ในใจนะ)” หลายครั้งเลยหละ สื่อว่าตอบโจทย์ความบันเทิงขั้นสุดเรียบร้อย โรงเรียน เอ่อ สตูดิโอมาเวล ไปอีกงานครัซ ^^
ตั๋วหนังเป็นมิตร By FallsDownz
Avengers: Age of Ultron ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
“อาหารว่างยามเบื่อ”
ในที่สุดเราก็ได้เข้าสู่ปลายช่วง Phase 2 และกำลังจะเข้าสู่ Phase 3 ของมาร์เวลอย่างเต็มตัวเสียที หลังจากที่ทางค่ายมาร์เวล ได้ประกาศตารางภาพยนตร์อีกยาวเหยียดไปจนถึงปี 2019 ใน Infinity War part 2 กันเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้เอง แน่นอนว่าก็ทำให้ภาพยนตร์ของทางค่ายในช่วงนี้ก็เต็มไปด้วยการปูไปสู่อภิมหาสงครามที่จะเกิดขึ้นใน Infinity War ซึ่งAvengers 2 ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้น
Avengers: Age of Ultron ว่าด้วยเรื่องราวการทดลองอันล้มเหลวของไอรอนแมน ซึ่งให้กำเนิด อัลตรอนหุ่นยนตร์อัจฉริยะผู้พยายามจะทำลายโลกขึ้นมา กลุ่มอเวนเจอร์จึงต้องรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหยุดแผนการของอัลตรอนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
สำหรับ Avengers: Age of Ultron ก็คงต้องบอกว่า ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกได้เรื่อยๆ และเต็มไปด้วยซีจี การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม อลังการงานสร้างตามสไตล์ของมาร์เวลเช่นเคย
โดยในภาคนี้ทิศทางของภาพยนตร์ดูจะเดินไปในทางที่ให้ความสำคัญกับเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครต่างๆ มากกว่าการเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นวินาศทุก 5 นาทีแบบ นาทีแบบใน Avengers ภาคแรก ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าตัวภาพยนตร์ในภาคนี้ยังค่อนข้างจะเดิมๆไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ฉากแอ็คชั่น ปมขัดแย้ง ยันตัวละคร พูดง่ายๆว่าทุกอย่างแทบจะเหมือน Avengers ภาคแรกเปะๆ แต่น่าสนใจน้อยกว่า ด้วยสาเหตุที่มันยังคงเต็มไปด้วยมุขเดิมๆ ตัวละครเอกทะเลาะกันเอง ตัวละครร้ายพูดถึงมนุษย์ที่ทำสิ่งแย่ๆ บลาๆๆ ซ้ำซากเหมือนทางผู้กำกับ จอส วีดอน นึกมุขใหม่ไม่ออก ที่สำคัญคือตัวภาพยนตร์ยังเสียเวลาหลายส่วนกับการปูไปสู่ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของมาร์เวลทั้งๆที่ตัวมันเองก็แทบจะไม่มีเวลาในการเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว เช่นตัวละครอย่างอัลตรอน ที่ถูกเร่งการพัฒนาตัวละครอย่างมาก จนเราแทบจะหาเหตุผลในการกระทำของเขา หรือ รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้เลย
ซ้ำร้ายเข้าไปอีก ก็คือตัวละครร้ายของเรื่องอย่างอัลตรอน ที่ควรจะถูกจัดอยู่ในสุภาษิต “ท่าดีทีเหลว” เพราะนอกจากจะกระจอกงอกง้อยต่างจากฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างลิบลับแล้ว ตัวภาพยนตร์ยังพยายามอวยเกินเหตุทั้งๆที่สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะหลังจากการมาของอีกหนึ่งตัวละครใหม่ซึ่งลดชั้นอัลตรอนจนแทบจะเป็นเศษเหล็กข้างถนน
ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวร้ายของภาคที่แล้วอย่าง โลกิ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะอย่างน้อยโลกิก็เป็นตัวละครร้ายที่มีเรื่องราวน่าติดตามมากกว่าอัลตรอนอยู่มาก ในขณะที่อัลตรอนเป็นตัวละครใหม่ ยังดีที่อีกสองตัวละครใหม่ สการ์เล็ต วิช และควิกซิลเวอร์ ยังพอน่าสนใจที่จะดึงฝั่งตัวร้ายให้ดูสูสีกับฝั่งตัวเอกได้อยู่บ้าง (ถึงแม้ว่าเรื่องราวของทั้งสองตัวละครจะโคตร cliché เลยก็เถอะ)
อีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างจะจืดชืด ก็คือบทภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะเดาง่าย หรือแนวความคิดที่พูดถึงความเลวร้ายในมนุษย์ ด้านมืดของมนุษย์ก็ช่างซ้ำซาก และยังขยี้ประเด็นได้เบามากๆอีก จนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ประเด็นซ้ำซากจำเจเหล่านี้ก็สามารถเป็นที่ยอมรับ หรือกระทั่งยอดเยี่ยมได้ ถ้าหากถ่ายออกมาได้ดีพอ ทำให้เรารู้สึกอยากเข้าไปสำรวจหรือครุ่นคิดมากพอ แต่สิ่งที่ Avengers 2 เป็นอยู่ในขณะนี้ยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มาก
สุดท้ายแล้ว Avengers: Age of Ultron ก็เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกขาดๆอยู่มาก เสมือนทางมาร์เวลกั๊กของดีๆเอาไว้ รวมถึงตัวผู้กำกับ จอส วีดอน เองก็หมดมุข จนทำให้ทุกอย่างจืดชืด ได้เป็นเพียงแค่อาหารว่างฆ่าเวลา รอให้อาหารจานหลักถูกนำมาเสิร์ฟก็เท่านั้น
Final Score: [ 6.5 / 10 ]
ถ้าชอบบทวิจารณ์ชิ้นนี้ ก็อย่าลืมกดไลค์แฟนเพจ , กดไลค์/แชร์เสตตัสนี้ด้วยนะคร้าบบ 🙂
กระทู้ pantip [รีวิว] Avengers: Age of Ultron (2015) – ดาร์คกว่า เวียร์ดกว่า และเป็นมนุษย์กว่าภาคแรก(ไม่มีสปอยล์)
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมคำวิจารณ์ของหนังภาคนี้ถึงได้ไม่สูงลิ่วเท่าภาคแรก(ภาคแรกได้ไป 92% บนเว็บมะเขือเน่า ในขณะที่ตอนนี้ Age of Ultron คะแนนคงตัวอยู่ที่ 73%) แต่ในขณะเดียวกันเราก็คงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทั้ง“ชอบ”และก็“เชียร์”หนังภาคนี้เอามากๆ ถ้าเอาตามฟีลลิ่งของตัวเองล้วนๆก็บอกได้เลยว่าเรารู้สึกฟินตอนดูหนังเรื่องนี้พอๆกับตอนดู X-Men: Days of Future Past เมื่อปีที่แล้วเลย
ความพิเศษของหนัง The Avengers ภาคแรกคือการที่มันเป็นหนังที่ทำความฝันสูงสุดของแฟนบอย Marvel ทั่วโลกให้เป็นจริงด้วยการรวมทีมตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ดังๆของค่ายนี้มาไว้ในหนังเรื่องเดียวกันได้สำเร็จในแบบที่ไม่มีหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องไหนเคยทำได้มาก่อน ฉะนั้นมันจึงไม่น่าแปลกที่หนังภาคสองอย่าง Age of Ultron จะไม่สามารถเรียกเสียงว้าวจากคนดูได้แบบภาคแรกเพราะไอ้ความประทับใจแบบนั้นมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกันได้เพียงครั้งเดียว แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มรูโหว่ในส่วนนั้นและเป็นสิ่งที่ Age of Ultron ทำออกมาได้ดีกว่า Avengers ภาคแรกแบบไม่เห็นฝุ่นเลยก็คือ character development ของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ในทีม The Avengers ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังภาคนี้ให้ความสำคัญและลงลึกมากกว่าหนังภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด
โมเมนต์ที่เฉิดฉายที่สุดในหนังภาคนี้ในสายตาของเราจึงไม่ใช่ฉากแอ็คชั่นระเบิดระเบ้อของหนัง[ซึ่งเราชอบมากทุกฉาก โดยเฉพาะฉาก Hulk vs. Hulkbuster ที่คงเป็นซีเควนซ์ถล่มเมืองที่ทำให้แฟนบอย Marvel ฟินน้ำแตกใส่หน้าจอโรงหนังกันไปตามๆกัน + ฉากไคลแม็กซ์ตอนท้ายที่ทำออกมาได้อย่างถึงอารมณ์] แต่เป็นฉากเล็กๆน้อยๆทั้งหลายที่เปิดเผยด้านที่เป็นมนุษย์และ/หรือคู่ความสัมพันธ์ของตัวละครในหนังต่างหากที่น่าจดจำที่สุด
ไม่ว่าจะความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่าง Captain America กับ Iron Man (ที่คงหนีไม่พ้นเป็นชนวนที่จะนำไปสู่เหตุการณ์ใน Captain America: Civil War) ก็ดี
ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเยียวยา/การเกื้อหนุนซึ่งกันและกันของคนสองคน [Bruce Banner (Hulk) & Natasha Romanoff (Black Widow)] ที่ต่างก็มี“ปีศาจ”อยู่ในตัว(อสุรกายผู้เหี้ยมโหดในตัวเขา & มือสังหารเลือดเย็นในตัวเธอ)ก็ดี
การเผชิญหน้ากันระหว่างปัญญาประดิษฐ์ผู้เป็นดั่งตัวแทนของความเกลียดชัง/การทำลายล้าง (Ultron) และตัวแทนของความสงบ/การปกปักษ์รักษา (Vision) ก็ดี
หรือแม้แต่การที่หนังเปิดโอกาสให้คนดูได้รู้จักกับ Hawkeye ในฐานะตัวละครที่มีพลังน้อยที่สุดแต่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุดในทีม The Avengers (จนอาจกล่าวได้ว่า Hawkeye คือ“หัวใจหลัก”ของทีม The Avengers ในหนังภาคนี้)เองก็ดีมากๆเช่นกัน
ส่วนตัวละครใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้อย่างคู่แฝด Maximoff [Quicksilver (Aaron Taylor-Johnson) กับ Scarlet Witch (Elizabeth Olsen)] และ Vision (Paul Bettany) ก็เพิ่มสีสันให้กับหนังได้อย่างไม่เลวเลย โดยเฉพาะตัว Scarlet Witch ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวละครที่มีฟังก์ชั่นที่สำคัญต่อ character development ของเหล่าตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ในทีม The Avengers ในหนังภาคนี้อย่างยิ่งยวด(เราชอบฉากที่ Scarlet Witch ใช้พลังดึงเอา“ความกลัว”ที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัว Avenger แต่ละคนออกมามากๆๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะฉากแฟลชแบ็กเล่าปูมหลังของ Black Widow ที่ทำออกมาสั้นๆง่ายๆแต่โคตรดีและทำให้ตัวละครที่แต่ก่อนมีสถานะเป็นแค่“ผู้หญิงเท่ๆในทีม The Avengers” กลายไปเป็นตัวละครที่มีมิติความเป็นมนุษย์ขึ้นได้ในชั่วพริบตาเดียว)
โดยส่วนตัวเราจึงเคารพการตัดสินใจของ Joss Whedon ที่พยายามพาหนังภาคนี้ไปในทิศทางที่ต่างไปจากภาคแรก ซึ่งนั่นทำให้ Age of Ultron เป็นหนังภาคที่ดาร์คกว่า เวียร์ดกว่า มีความเป็นมนุษย์มากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นหนังภาคที่ดูสนุกและมีอารมณ์ขันโปกฮาตามสไตล์ Whedon ไม่แพ้ The Avengers ภาคแรกเลยแม้แต่นิดเดียวในความคิดเห็นของเรา
8.5/10
กระทู้ pantip Pacharapon
[สปอยหนัก] Avengers : Age of Ultron เป็นเรื่องที่ผมแถให้ไม่ได้จริงๆ 555
ผมมั่นใจว่าหลายท่านที่ดูอเวนเจอร์ภาคนี้ น่าจะไม่ชอบใหญ่ๆอยู่หนึ่งอย่างนั้นก็คือตัวร้ายของภาคที่คือ Ultron เป็นตัวที่กากกกกกกมาก คือเข้าใจนะตัวร้ายมาร์เวลไม่ค่อยเก่ง แต่สำหรับอัลตรอนแล้ว ถือว่ากระจอกหรืออ่อนกว่าคอมมิคเยอะมากจนเกินไป อะไรที่ทำให้ตัวนี้กาก
1.บอกว่าแฮคอินเตอร์ แฮคไฟล์ แต่ไปๆมาๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
– อัลตอรนตอนแรกที่เกิดมาเหมือนขโมยหรือลบไฟล์อะไรสักอย่างของอเวนเจอร์แหละ ขึ้นว่าชื่อแฮคอินเตอร์เน็ตได้ แต่ในหนังต้องยอมรับว่า ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวัง หรือ เลวร้ายกว่าที่คิดเลย เช่น โทนี่ดันใช้ชุดไอร่อนแมนได้ บ้านเมืองทั่วไปไม่เกิดโกลาหนเลย แบบทุกคนก็ใช้ชีวิตชิวๆ ถ้าจะเอาโกลาหน โหดจริง ไอร่อนสำหรับภาคนี้ต้องเป็นง่อยเลยนะ ชุดไอร่อนแมน หรือตึก ไฟฟ้า ต้องใช้การอะไรไม่ได้สักอย่าง แบบอารมณ์ไอร่อนแมน 3 อะครับ
– ถ้าเอาในเรื่องที่ดูน่าจะเลวร้ายสุดน่าจะเป็นตอนที่ประชุมกันในบ้าน Hawkeye ที่บอกจะแฮครหัสนิวเคลียร์อะไรนั้น แล้วพอช่วงสู้ตอนท้าย เจอวิชั่นจับหัวเอาอินเตอร์เน็ทกลับคืนมาก็ง่ายๆแบบนั้นเลย และมีความเป็นมนุษย์สูงเหลือเกินอัลตรอน รับฟังเรื่องของสองพี่น้อง สกาเลท และ ควิซ ซิลเวอร์ หรือไม่ก็ขังแนท แล้วปล่อยให้แนทปล่อยรหัสมอสได้เนี่ยอะนะ 555555
2.Ultron โง่ในตอนท้าย
– ในช่วงท้ายที่อัลตรอนเจอกับวิชั่น แล้ววิชั่นบอกว่าแกคือตัวสุดท้าย หลายคนบอกทำไมมันโง่จัง ทำไมไม่เอาหุ่นอีกตัวไปซ่อนที่ไหนก็ได้สักแห่ง แต่สำหรับผม ผมแถให้นะ 55555 ที่อัลตอรนทำแบบนี้ เพราะเป็นตัวร้ายที่มีสัจจะ ไม่โกหก คำไหนคำนั้น นั้นก็คือตอนที่พวกอเวนเจอร์ปกป้องแท่น แล้วอัลตรอนบอกว่า “อยากรู้เหมือนกันพวกข้ากับเจ้า ใครจะชนะ” อะไรทำนองนี้ ประมาณว่า มีเท่าไรใส่หมด ไม่มีซ่อนอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่อัลตรอนทำยังมีสัจจะกว่าธานอสอีก เพราะตอน Infinity War ธานอสตอนที่ไปให้คนแคระทำถุงมือ คนแคระบอกว่าถ้าทำให้ จะไม่ฆ่าหมด แต่พอทำแล้วก็ฆ่าหมดเฉยเลย
แต่ผมยอมรับอย่างนะ ตัวอย่างหนังภาคนี้ทำออกมาหดหู่จริงๆ แบบดูทรงแล้วอเวนเจอร์แพ้ย่อยยับแน่ๆ แต่พอมาดูหนังกลับตรงข้ามเลย
ก็ไม่มีอะไรครับพูดคุยเรื่องอเวนเจอร์ภาคเก่าๆบ้าง หลังดู End Game มาก็รื้อฟื้นหน่อย เอาจริงๆนะภาคนี้ผมก็ชอบนะ อเวนเจอร์เนี่ยผมดูเพราะอยากเห็นรวมตัวฮีโร่กันปราบตัวร้าย แค่นี้จริงๆครับ 55555
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Superman Batman Apocalypse (2010) ซูเปอร์แมน กับ แบทแมน ศึกวันล้างโลก
Man of Steel (2013) บุรุษเหล็กซูเปอร์แมน
6.3