ดูหนัง ออนไลน์ The Flash เต็มเรื่อง (2023)
เรื่องย่อ
เดอะ แฟลช Barry Allen ใช้ความเร็วระดับสุดยอดของเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีต แต่ความพยายามของเขาในการกอบกู้ครอบครัวของเขาได้สร้างโลกที่ปราศจากซูเปอร์ฮีโร่ บีบให้เขาต้องแข่งขันเพื่อเอาชีวิตรอดเพื่อกอบกู้อนาคต
เรื่องราวเกี่ยวกับ Barry Allen (แสดงโดยนักแสดงนำที่มีเสน่ห์ดึงดูด) นักนิติวิทยาศาสตร์ผู้ชาญฉลาดที่ทำงานให้กับกรมตำรวจ Central City แบร์รี่มีพลังอันน่าทึ่งโดยที่เพื่อนร่วมงานของเขาไม่รู้ ความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือเสียง กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่รู้จักในชื่อเดอะแฟลช
เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้น แบร์รี่ถูกตามหลอกหลอนด้วยการฆาตกรรมแม่ของเขาที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ด้วยความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถใช้ความเร็วเพื่อแก้ไขอดีตได้ เขาจึงออกเดินทางเพื่อช่วยชีวิตเธอ อย่างไรก็ตาม การกระทำของเขาทำลายโครงสร้างแห่งเวลาโดยไม่ได้ตั้งใจ ปลดปล่อยเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุกคามทำลายลิขสิทธิ์
ด้วยลิขสิทธิ์ที่ตกอยู่ในอันตราย แบร์รี่ต้องทำงานร่วมกับกลุ่มเพื่อนฮีโร่ DC และค้นหาความสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงเวลาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและการรักษาเสถียรภาพของความเป็นจริง ภาพยนตร์แนะนำทั้งใบหน้าที่คุ้นเคยและตัวละครใหม่ แสดงปฏิสัมพันธ์แบบไดนามิกและความพยายามร่วมกันเพื่อแก้ไขความสับสนวุ่นวายทางโลก
ธีมหลัก: ตัวตนและวัตถุประสงค์: ตัวตนคู่ของ Barry Allen ในฐานะนักนิติวิทยาศาสตร์และซูเปอร์ฮีโร่กลายเป็นธีมหลัก เขาต่อสู้กับคำถามเกี่ยวกับตัวตนและจุดประสงค์ของตัวเอง โดยเทียบเคียงกับความสามารถทางกายภาพของเขาในการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานสายฟ้ากับการต่อสู้ทางอารมณ์เพื่อค้นหาสถานที่ของเขาในโลกนี้
ผลที่ตามมาของการเดินทางข้ามเวลา: ภาพยนตร์เจาะลึกความซับซ้อนของการเดินทางข้ามเวลา โดยเน้นย้ำถึงผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการพยายามเปลี่ยนแปลงอดีต ตัวละครต้องเผชิญกับประเด็นขัดแย้งทางจริยธรรมและต้องทำการเลือกที่ยากลำบากซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาไม่เพียง แต่ลิขสิทธิ์ทั้งหมด
Multiverse Exploration: “The Flash” เจาะลึกแนวคิดของลิขสิทธิ์ จักรวาลที่เต็มไปด้วยความจริงที่ผันแปรนับไม่ถ้วน การสำรวจนี้นำไปสู่ภาพที่น่าทึ่งและความรู้สึกพิศวงเมื่อตัวละครท่องไปในมิติต่างๆ เผชิญหน้ากับตัวเองและพันธมิตรในรูปแบบอื่น
การทำงานเป็นทีมและความสามัคคี: การเดินทางของ The Flash รวบรวมฮีโร่จากมุมต่างๆ ของลิขสิทธิ์ จำเป็นต้องมีการทำงานเป็นทีมและความร่วมมือ ธีมของความสามัคคีนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและคุณสมบัติเฉพาะตัวของฮีโร่แต่ละตัวในขณะที่พวกเขารวบรวมทรัพยากรเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามทั่วไป
ภาพและทิศทาง: ผู้กำกับภาพยนตร์ใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ล้ำยุคเพื่อบันทึกความเร็วและพลังที่แท้จริงของ The Flash ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำไปกับฉากไล่ล่าที่บีบคั้นหัวใจผ่านทิวทัศน์ของเมืองที่จอแจและทิวทัศน์อันน่าทึ่ง การใช้ซีเควนซ์แอ็กชันแบบสโลว์โมชั่นและเร็วปานสายฟ้าฟาดไม่เพียงแต่ทำให้ตื่นตาเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงความสามารถเชิงลึกของแบร์รี่ด้วย
บทสรุป: The Flash (2023) เดอะ แฟลช ก้าวข้ามขอบเขตของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่แบบดั้งเดิม ผจญภัยไปในอาณาจักรแห่งเวลา อวกาศ และความเป็นจริงทางเลือก ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าดึงดูดใจ ภาพที่สวยงามน่าทึ่ง และการสำรวจธีมที่ลึกซึ้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงมรดกที่ยั่งยืนของตัวละครและความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดของลิขสิทธิ์ ขณะที่ Scarlet Speedster พุ่งผ่านเวลาและมิติต่างๆ ผู้ชมจะรู้สึกเบิกบานใจ ขบคิดความสมดุลระหว่างพลัง ความรับผิดชอบ และผลที่ตามมาจากการยุ่งเกี่ยวกับโครงสร้างของการดำรงอยู่
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Flash (2023) เดอะ แฟลช หนังประเภท Adventure ผจญภัย เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนัง ออนไลน์ ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน ดูหนังออนไลน์ หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
แอนดี มัสเคียตตี
บริษัท ค่ายหนัง
- วอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอส์
- ดีซี สตูดิโอส์
- ดับเบิลดรีม
- เดอะดิสโกแฟกทอรี
นักแสดง
- เอซรา มิลเลอร์
- ซาชา กาเย
- ไมเคิล แชนนอน
- รอน ลิฟวิงสตัน
- มาริเบล เบดู
- เคียร์ซี เคลมอนส์
- อันเจ เทรา
- ไมเคิล คีตัน
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
Comics Guide Thailand
The Flash (2023) รีวิวสั้น ๆ ไม่สปอยล์
เราคิดว่า The Flash คือหนังที่มีองค์ประกอบที่พร้อมจะเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้นับจาก GOTG vol.3 และ Across the Spider-Verse มันมีนักแสดงที่ดี มีความทรงจำดี ๆ ให้รำลึก มีปมเรื่องที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีมุกตลกที่โคตรฮา แต่ทั้งหมดที่ว่ามาพอมาประกอบร่างกันกลับทำไม่ถึง เป็นความล้นของความพยายามที่จะจัดเต็มแฟนเซอร์วิสจนลดทอนองค์ประกอบอื่น ๆ ลง โดยรวมคือสนุกดีใช้ได้ แต่ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น
ปล. คอมเม้นท์ที่มีส่วนสปอยล์เนื้อเรื่องแม้เพียงเล็กน้อย รบกวนใส่จุดกันสปอยล์หน่อยนะครับ แต่ละคนเซนซิทีฟไม่เท่ากัน ใจเขาใจเรานะ
Kunnapat Jomkaew
รีวิว The Flash (2023) ไม่สปอยล์
ข้อดี
– หนังสนุกสัสๆ ขำท้องแข็ง อารมณ์ดู GOTG แล้วมีสตาร์ลอร์ด 2 คนอ่ะ บันเทิงจัด
– ส่วนดราม่าก็ดีมาก ซึ้งน้ำตาไหลกันทั้งโรง ข้างๆนี่สูดน้ำมูกไม่หยุด หนังมีหัวใจของมันจริงๆ
– ตัวละครแอร์ไทม์เยอะไม่เท่ากันแต่แม่งเท่และกินใจทุกตัว โดยเฉพาะแบทแมนคีตั้น
– เซอร์ไพรส์คือดีและคาดไม่ถึงจริงๆ
– แบรี่ อัลเลน โดย เอซรา มิลเลอร์ คือเดอะแบกหนังของจริง การแสดงช่วงดราม่าคือแค่เห็นหน้าแกก็น้ำตาซึมแล้วอะ ไม่แปลกใจเลยทำไมข่าวเหี้ยๆก็เยอะแต่ยังไม่โดนเด้ง
– อนาคตของจักรวาล DC เปิดกว้างและเป็นไปได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว
ข้อเสีย
– ถ้าเราย้อนกลับไป 10 กว่าปีที่แล้วมองสิ่งที่ Ironman 1 (2008) และ Transformer 1 (2007) ทำ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า CGI บางฉากในเรื่องนี้ทำออกมาได้น่าผิดหวัง
– หลายตัวละครรวมถึงแบรี่ สามารถไปสุดในทุกปมได้มากกว่านี้ถ้าหนังมีเวลาที่มากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ซื้อถ้าหนังมันนานเกินไป
7.5/10 ⚡
เด็กน้อยวิจารณ์หนัง
The Flash ( 2023 )
8.5/10
“ หนังสนุกและโคตรบ้าคลั่ง เซอร์ไพรส์มีเพียบ เอาใจแฟน DC แบบสุดๆ “
⁃ หลังจากที่ผมเกริ่นเอาไว้ในบทความก่อนหน้านี้ ว่าผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เห็นไมเคิล คีตัน กลับมารับบทแบทแมนอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้
⁃ ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่เซอร์ไพรส์บางส่วนเท่านั้น เพราะว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ เซอร์ไพรส์มีเพียบ แบบที่เรียกได้ว่าเอาใจแฟน DC แบบสุดๆ จนเรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์มีเยอะมากมายเกินคาด
⁃ เอาละเข้าถึงเนื้อหาในการรีวิวกันดีกว่า
⁃ ตัวหนังเล่าเรื่องราวถึง แบร์รี่ อัลเลน หรือ The Flash รับบทโดย Ezra Miller ได้ทำการวิ่งย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขเรื่องราวต่างๆในอดีตที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของตัวเอง แต่การกลับไปแก้ไขอดีตในครั้งนี้ ก่อให้เกิดหายนะต่อมวลมนุษยชาติที่ยากเกินกว่าการควบคุม
⁃ “ หนังสนุกและโคตรบ้าคลั่ง เซอร์ไพรส์มีเพียบ เอาใจแฟน DC แบบสุดๆ “ ผมขอมอบคำนิยามให้กับหนังเรื่องนี้เลยจริงๆ
⁃ หนังมีข้อดีตรงเรื่องบท ที่ทำออกมาได้ดูเข้าใจง่าย และในเรื่องราวของมัลติเวิร์สนั้นดูได้ง่าย และไม่ได้สับสนหรือดูเข้าใจยากในแบบที่ผมกังวลมาก่อนหน้าที่จะดู
⁃ ซึ่งบทเนื้อหาที่ดี , เรื่องราวของหนังที่เล่าเรื่องได้แบบเข้าใจได้ง่าย บวกกับมุขตลกที่สอดแทรกได้ฮาบ้างอยู่เป็นระยะๆ แต่อย่างไรก็ตามส่วนที่ดีงามจริงๆของหนัง คือ พาร์ทดราม่า ที่ทำออกมาหนักแน่นได้ดีเกินคาด ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างแบร์รี่กับแม่ , ความสัมพันธ์ระหว่างแบร์รี่กับพ่อ รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างแบร์รี่ กับตัวแบร์รี่เอง ( ในอีกมัลติเวิร์ส ) ซึ่งต้องขอชื่นชมการแสดงของ Ezra Miller ที่แสดงได้ดีมากๆ ทั้งสองบุคลิกของตัวละคร ที่ช่วงเวลานั้นมีนิสัยต่างกัน ซึ่งการแสดงของ Ezra นี่แหละ ทำให้หนังเรื่องนี้มีพาร์ทดราม่าที่แข็งแรงพอที่จะทำให้หนังดูสนุกได้จนจบ
⁃ ส่วนเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ผมบอก ตัวละครแบทแมน ที่รับบทโดย ไมเคิล คีตัน นั้นเป็นแค่เพียงเซอร์ไพรส์ในส่วนเล็กน้อยเท่านั้น หนังเต็มไปด้วยตัวละครที่สุดแสนจะเซอร์ไพรส์ และเรียกน้ำตาซึมได้สำหรับแฟนหนัง DC ได้มากเกินคาด พูดง่ายๆเลยว่า ดูจบแล้วรู้สึกอิ่มเอม และถวิลหาอดีตที่เกี่ยวข้องกับ DC หรือค่ายหนังวอร์เนอร์ ได้ดีมากๆเลยแหละ
⁃ ส่วนพาร์ทแอ๊กชั่น ทำออกมาสนุก ดุดันและรวดเร็ว แค่ได้เห็นไมเคิล คีตัน แสดงฉากบู๊ก็คุ้มค่ากับการรอคอยแล้วครับ ส่วนฉาก The Flash วิ่งสปีดฟอร์ชก็ทำออกมาได้เท่อยู่ และแบทแมน ( เบน เอฟเฟลค ) ก็เปิดเรื่องราวด้วยฉากบู๊เท่ๆ ได้สนุกสนานเกินคาดครับ
⁃ แต่ตัวละครจอมขโมยซีนจริงๆ ต้องยกให้ Sasha Calle ที่รับบทเป็น คาร่า หรือ Supergirl ซึ่งฉากบู๊ของเธอนั้นดูเท่ ดูแข็งแกร่ง และเป็นตัวละครขโมยซีนได้แบบน่าจดจำครับ
⁃ แต่ข้อเสียของหนังเองก็มีเหมือนกันครับ และเป็นข้อเสียใหญ่ๆ ถึงสองข้อครับ
⁃ ข้อเสียแรกเลยคือ ซีจีครับ ซีจีบางช่วงบางตอน ลอยแบบเห็นได้ชัด ( โดยเฉพาะฉากต้นเรื่อง ซึ่งลอยมากจนเห็นได้ชัดเจน )
⁃ ข้อเสียที่สอง หนังมีแอบเนือยในช่วงกลางเรื่องครับ จนบางทีผม(แอบ)อดคิดไม่ได้ว่า หนังยาวไปนิดนึงพอสมควร ในเวลาสองชั่วโมง 24 นาที ถ้าหากหนังลดความเนือยในช่วงกลางเรื่อง น่าจะโอเคและดูเพลินมากกว่านี้ครับ
⁃ แต่ข้อเสียสองข้อที่ผมกล่าวมา ไม่ได้ทำให้หนังลดความสนุกมากไปเท่าไหร่นัก ซึ่งถ้าหากมองภาพโดยรวมแล้ว หนังทำออกมาได้ดีเกินคาด จบเรื่องราวได้แบบน่าติดตามต่อ และที่สำคัญความเซอร์ไพรส์คนดูของหนังเรื่องนี้แหละ ทำให้แฟนคลับ DC อย่างผม ประทับใจได้มากจริงๆครับ
⁃ ดังนั้นขอสรุปคะแนนสำหรับ The Flash ( 2023 ) ผมให้ 8.5/10 นั้นเอง
⁃ ทิ้งท้ายอีกนิด หนังมีฉากท้ายเครดิต ที่คุณไม่ควรพลาดกันนะ
Movie FF: Friend and Fun
Movie FF | Now Showing / Review
The Flash (2023) (ฉบับ Cinema-Con) ⚡ 🦇 🦸🏻♀️
โหหห!! โคตรชอบบบ!! ร้องกรี๊ดแบบไม่มีหยุดทั้งเรื่อง!! ขนาดเป็นฉบับ Cinema-Con ยังสุดจัดขนาดนี้ ตัวหนังเต็มจริงๆ จะขนาดไหน อยากดูแบบฉบับสมบูรณ์ Final Cut ต่อเลยตอนนี้!
Barry Allen (The Flash) พยายามหาทางเดินทางย้อนเวลาสมัยที่เค้ายังเด็ก เพื่อปรับเปลี่ยน/ป้องกันการเสียชีวิตลงจากแม่ของเขา หากแต่เขานั้นไม่รู้เลยว่าการที่เขายิ่งพยายามแก้ไขเหตุการณ์/ลูปเวลาในอดีตมากเท่าไร อดีต/ปัจจุบัน/อนาคตในโลกแห่งความจริง จะยิ่งเปลี่ยนแปลงหนักมากขึ้นเท่านั้น วัฏจักรแห่งมวลมนุษย์ทุกอย่างจะดับสูญหมดสิ้นตลอดไป — ไม่นาน เมื่อกาลเวลาที่ถูกแปรเปลี่ยน ทำให้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เปลี่ยนไปหมด การมาถึงของนายพล Zod ศัตรูตัวฉกาจของ Superman ก็ปรากฏ แต่ไม่มีแล้ว Superman ไม่มีแล้วฮีโร่แห่งดาว Krypton โลกไม่มีฮีโร่ต่างๆ จาก Justice League, พร้อมกันนั้น ความผิดเพี้ยนของลูปเวลา ก็ทำให้เกิด Barry ขึ้นมา 2 คน Barry จึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อหยุดยั้งนายพล Zod และกอบกู้จักรวาลที่ได้ผกผันไปให้กลับคืนมาอย่างเดิมหรือใกล้เคียงที่สุด!
อย่างที่เกริ่นไว้พาดหัวเลยว่าโคตรสุด! สนุกมากกก!! The Flash ที่ได้ดูก่อนในรอบ Influencer Preview นี้ เป็นฉบับที่ฉายในงาน Cinema-Con ซึ่งยังไม่ใช่ตัวเต็ม ตัวจริง Final Cut แต่บอกเลยว่าแค่นี้ก็โคตรเอาใจไปเลยแล้ว หนังดี หนังสนุก หนังบันเทิงไปหมดทั้งเรื่อง
The Flash (2023) นี้ มันดีงามในแง่ความจะเป็นหนังดราม่าก็ได้ การ Let Go ปล่อยวาง, การ Move On ต่อสิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อการยึดติดมันเลยก่อให้เกิดสถานการณ์บานปลาย ที่อาจเกินเลยไปมาก เกินเลยไปกว่าเรื่องของตัวเอง พร้อมกับส่งผลต่อทุกสิ่งอย่างบนโลกอย่างเหลือคณานับ ซึ่งพาร์ทดราม่าที่หนังนำมาจูนมาเล่นกับเรื่องราวแก่น Multiverse ในเรื่องนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดีงาม งดงามมาก พร้อมมีรสชาติที่บันเทิง สนุก ตลกโปกฮา สาดใส่ซีนบู๊/แอคชั่นมาเต็มสูบ มันครบเครื่องครบรสมากๆ ในหนังเรื่องเดียวแบบจุใจ (ระหว่างดูแอบเหมือนเป็นไบโพลาร์นิดนึง ซึ้งๆ อยู่ฮา ฮาๆ อยู่มันส์ มันส์ๆ อยู่ปริ่ม Good Taste อร่อย กลมกล่อมมากๆ)
อีกทั้งยังชอบมากๆ ตั้งแต่ซีนที่ Barry ทั้ง 2 (แฝดคนละจักรวาล) ได้พบกับ Bruce Wayne (Batman) มันเหมือนพาเราหวนคืนสู่เหย้าเคล้าความคุ้นเคยกับ Batman (1989) ฉบับป๋า Michael Keaton ที่ส่วนตัวเติบโตมากับภาคนี้นี่แหละ ยุคนี้ กาลสมัยนี้เป็นภาคแรกในชีวิตเลย หนังเซ็ตติ้งโลก-ถ้ำค้างคาว-รถ Batmobile ฉบับ Tim Burton ได้ขนลุกมากกก!! กลิ่นอายความ Old School Batman ป๋า Keaton ที่แบบเก๋าเกม มาเจอกับ The Flash แบบยุคใหม่ Gen ใหม่ วิวัฒนาการแห่งยุคที่แตกต่างแต่สามารถช่วยเหลือกันได้แบบในเรื่องคือเฟี้ยวฟ้าวมาก (สังเกตหลายซีนที่ Gadget Batman จะหลงยุคไปหน่อย แต่มันก็แอบใช้ได้ และเฟี้ยวมาก)
ส่วนงาน CGI งาน VFX คือสาดแสงปล่อยของมาตาแตกมาก จัดจ้านทั้งเรื่อง งานดีงานละเอียดเลย (แต่ก็ยังแอบอาจคิดว่าเวอร์ชั่นจริงจะมีปรับแก้งาน CGI อีกมากน้อยเท่าไรนะ แต่ฉบับนี้ก็ถือว่าสาดมาแสบตา กระหึ่ม และจัดจ้านมากมายเต็มสตรีมแล้วทีเดียว)
หนุ่ม Ezra Miller กับบทบาท Barry เธอกับฉันกับฉันในภาคนี้ คือดีงามไร้ที่ติ ไม่นับเรื่องราวปัญหาส่วนตัว แต่งานการแสดงบนจอ ความเฉิดฉายออร่าบนจอ ฝีไม้ลายมือในการแสดงถือว่ายอดเยี่ยมเลยจริงๆ เป็น Barry แบบคนละคน/อย่างละคนได้เนียนกริบ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง บุคลิกที่แตกต่างแต่รวมกันแล้วโคตรเอาอยู่ แท็กทีมเข้าขากันดีมาก พ่วงกับบทและไดอาล็อกที่ยียวนกวนประสาทชวนเข้าขาความแฝด(ฮา)นรกได้ดีจริงๆ (คำชม)
สรุปแล้ว The Flash (2023) ฉบับ Cinema-Con คือหนังฮีโร่จากฝั่ง DC เรื่องล่าสุด ที่ดึงศักยภาพในแง่ของการอยากเล่าเรื่องของ Multiverse ได้ออกมาดีอย่างเต็มเปี่ยม มีแนวทางที่อยากเล่า สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่อยากย้อนอดีตไปแก้ได้อย่างงดงามและสนุกมาก มาพร้อมแฟนเซอร์วิสเหล่าติ่งฮีโร่ DC ครั้งใหญ่ อะไรที่เคยคิดฝันอยากเห็นจะได้เห็นในหนัง DC เรื่องนี้ บันเทิงเต็มเปี่ยม มันส์หยดสายฟ้าฟาด จนตอนนี้อยากดูแบบ Final Cut (Theatrical Version) ฉบับเต็มฉบับจริงเลยตอนนี้ โคตรค้างคา!
ป.ล. ที่บอกว่าโคตรค้างคาเพราะฉบับที่เจ๊ดูเมื่อวานนี้ (Cinema-Con) ตอนจบคือจบเลย ยังไม่มีฉากพิเศษ (Mid-Credits / Post-Credits) ใดๆ และยังไม่ใช่ Final Cut ไม่รู้ว่าทั้งเรื่องจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากฉบับนี้ขนาดไหน/อย่างไร งาน CGI/VFX จะมีแก้อะไรเพิ่มหรือลดลงไหม ยิ่งตอนสุดท้ายทิ้งบอมบ์ด้วยซีนปริศนาตัวละครตัวนึง อยากรู้เลยว่าฉากพิเศษแม่งจะยังไงวะ?! .. คือต้องรอรอบสื่อจริงๆ วีคหน้า หรือฉายโรงปกติเต็มๆ อีกทีค่ะ กรี๊สสส!! จะดูอีกแน่นอนบอกเลย! และจะมาอัพเดทนะคะว่าตกลงแล้วมีอัพเดท-เปลี่ยนแปลงอะไร/อย่างไรบ้าง และมีฉากพิเศษกี่ตัว
ระดับความชอบ 9/10
*หนังเข้าฉาย 15 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
MICk MOVIE
Review: The Flash (2023) **Cinema-Con Version
A Film by Andy Muschietti
**คำเตือน “เวอร์ชั่นที่ได้ดูเป็นเวอร์ใช่ที่ยังไม่สมบูรณ์ 100% เเละอาจจะมีการปรับเเก้ในเวอร์ชั่นฉายโรงเพราะไม่ใช่ตัวงานไฟนอลดราฟ เเละที่รีวิวเป็นเพียงจากฉบับ Cinema-Con เท่านั้น”
–
“เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงดราฟเเบบราฟๆเเละไม่ใช่ตัวงานที่สมบูรณ์ซึ่งเเน่นอนเราไม่สามารถติชมอะไรได้อย่างเต็มร้อยเเต่ขอพูดเเบบภาพรวมเลยล่ะกัน นี่เป็นภาพยนตร์จาก DC ในจักรวาลของเเซ็คที่สามารถสานต่อเจตนารมณ์เเฟนๆดีซีที่ติดตามกันมาตั้งเเต่ Man of Steel ที่ควรค่าเเก่การรับชมเเน่นอน เพราะเราก็น่าจะได้เห็นการพาตัวละครนู้นนี่จากในตัวอย่างเเต่ก็ใช่เเล้วมันไม่ได้มีเเค่นั้นเเน่นอนเเละมีเซอร์ไพรซ์พิเศษที่ผสมอยู่ภายในเรื่อง ถ้าหากคุณพยายามที่จะหลบสปอยได้อย่างดีที่สุดเลย คุณจะกรี๊ดเเละว้าวอย่างเเน่นอน เเละถ้าคุณติดตาม DC มาตั้งเเต่เนิ่นนานบอกเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ตอบโจทย์เเน่สำหรับคุณ….เอาล่ะมาถึงส่วนของเนื้อหา”
–
“ภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นว่าดราฟที่ได้ดูในดราฟนี้จากสื่อเมืองนอกเห็นว่ายาวกว่าเเละไม่มีเครดิตนักเเสดงเเละทีมงานซึ่งคิดว่ามันก็น่าจะยาวกว่าฉบับฉายโรงเพราะหนังสมัยนี้เครดิตก็ปาไป 10 นาที+ ในกรณีหนังฮีโร่ที่มีโมชั่นด้วยเเละไหนจะฉากมิดเครดิตอีก ซึ่งเวอร์ชั่นนี้ไม่มีเเต่ก็ไม่รู้ว่ายาวกว่ามั้ยเพราะก็ไม่มีความยาวตายๆตัวออกมาเหมือนกัน โดยในการเล่าเรื่องของเวอร์ชั่นนี้คิดว่าดนตรีกับ Sound Mixing น่าจะยังไม่เสร็จดีเลยรู้สึกได้ว่าเสียงหนังมันเบามากเเละดนตรีเเทบจะไม่ติดหูเอาซะเลย ง่ายๆรู้สึกเหมือนยังไม่เสร็จซะมากกว่า ซึ่งมันก็ทำให้อารมณ์ในฉากบู๊ดูจืดลงจากดนตรีเเละซาวน์ต่างๆด้วย…ส่วนเรื่องการเล่าเรื่องคิดว่าทำออกมาได้สดใหม่ดีสำหรับการที่ The Flash เป็นเพียงหนังเดียวเรื่องเเรกของตัวละครนี้ด้วย หนังมีการ Setting ทางการเล่าที่ดีมากเลยสำหรับการให้ตัวละคร เเบร์รี่ ในสองยุคมาเจอกันซึ่งนั่นทำให้เราสามารถรู้ที่มาที่ไปของเเบร์รี่ได้เลยโดยที่ไม่ต้องวกกลับมาเล่าพาร์ทอดีตให้เสียเวลา เเละคิดว่าฉลาดมากที่เล่าเเบบนี้”
–
“จากนั้นหนังก็จะพาไปสู่เนื้อรองต่างๆในเรื่องที่จะนำไปสู่เนื้อหาหลักซึ่งในการเล่ามันเพลินมากเลยเเละมีกลิ่นของความสยองขวัญเเบบ It จากผลงานสร้างชื่อของผู้กำกับซะด้วย เเละตลอดการปูทางมันสุดยอดมากเลย เเละเป็นการเล่าที่เพลินตั้งเเต่ต้นจนจบไม่มีเเบบช่วงที่ไม่สนุกหรืออะไรเลยเพราะหนังเรื่องนี้สร้าง Setting เเละ Mood ของฉากต่างๆที่น่าสนใจจนเกือบจะเหมือนดูช๊อตสวยๆจากงานประเภท TVC ของเมืองนอกที่คิดว่าหนังหลายๆเรื่องก็เเทบทำไม่ได้เเต่พอดูเเล้วเห็นถึง Energy ของ Andy Muschietti ที่สามารถเนรมิตฉากสวยๆอะไรเเบบนี้ออกมาได้ดี เเละถ้า Andy ได้มีงานร่วมกับ DC ต่อก็เชียร์มากเช่นกันจากฝีไม้ลายมือที่เเสดงออกมาในงานนี้
เเต่ก็ยังมีบางอย่างที่ต้องปรับปรุงอยู่บ้าง”
–
“เราจะมาพูดถึงข้อเสียกันเลยล่ะกันตัวภาพยนตร์เรื่องนี้มีปัญหาอย่างมากกับฉากเเอ็คชั่นซีนซึ่งมันไม่ใช่ส่วนที่ไม่สนุกของหนังเเต่มันมีข้อให้ปรับปรุงอยู่ระดับนึงเลยก็คือการใช้ขนาดภาพ เนื่องจากหนังใช้ดีพีอย่าง Henry Braham จาก Guardian of the Galaxy Trilogy ซึ่งงานภาพคนนี้จุดเด่นเลยคือการสร้างภาพกว้าง เเละใช่เเล้วปัญหาจากงานภาพที่เป็นเฟรมกว้างตลอดเเละหนังเลือกที่จะไม่ใช้ฟอร์เเมตตามไซส์จอโรงเเบบ Guardian ทำให้มันโชว์ศักยภาพของภาพกว้างไม่ได้เลย เเละการดูอัตราส่วน Flat เเบบจอสูงบนโรงจอ Cinemascope ทำให้ภาพกว้างมันดูเล็กมากเเละยิ่งไกลไปอีก ซึ่งถ้าดูบนจอ IMAX อาจจะดีกว่านี้ เเต่ถ้าหนังมีการใช้มุมภาพขนาด Close Up เเละ Medium กับฉากบู๊เเบบตอน Zack ใช้กับ Man of Steel จะดีมากเลยเเละได้อารมณ์กว่าด้วย เเต่กลับกันที่หนังเรื่องนี้ใช้ภาพกว้างในซีนเเบบนี้น้อยมากเเละถ้าดูโรงปกติอาจจะรู้สึกมันไม่ได้อารมณ์เท่าไหร่”
–
“ส่วนเรื่อง Multiverse ของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างดูไม่ค่อยเป็นปัจจัยที่หนักหน่วงสักเท่าไหร่ เพราะทิศทางที่หนังเลือกจะใช้รู้สึกเหมือนอารมณ์ว่าตัวละครนึงไปติดอยู่ในอีกมิตินึงเเละหาทางออกโดยมีความเป็น Multiverse มาเป็นส่วนเสริมซะมากกว่าไม่ได้เจาะลึกอะไรมากเท่าที่ควรจากการขายของตัวหนังนะ เเละก็ตัวละครอย่าง Batman ของฉบับ Tim Burtion ถือว่าทำออกมาได้ดีนะถ้าไม่ติดตรงเเอร์ไทม์มันน้อยไปหน่อยกับตัวอย่างที่ขายฉากต่างๆออกมา เเละก็ปลายทางของเรื่องเหมือนจะดูเรียบง่ายไปมากถ้าเทียบกับทุกสิ่งที่ปูออกมา เเต่ก็นะ…เห็นว่าเวอร์ชั่นฉายโรงจริงจะมีการปรับเปลี่ยนส่วนนี้ซึ่งทำให้อยากดูมากเลยว่าจะมีการเเก้อะไรให้สุดโต่งกว่านี้มั้ย
–
ภาพรวม ถือเป็นหนังมัลติเวิร์สจากดีซีที่ไม่ได้จึ้งมากเท่าไหร่เเต่การเล่าเรื่องสนุกสนานเเละเจ๋งมากที่ได้เห็นอะไรเเบบนี้จากดีซี นักเเสดงทุกคนเล่นดีสมบทบาทอย่างน่าประทับใจกับทีมเเคสติ้งมาก ฝีไม้ลายมือจาก Andy Muschietti ถือว่าใส่ความเป็นตัวเองลงมาอย่างโดดเด่นเเละเเฟนๆดีซีไม่ผิดหวังเเน่นอน เเถมเเฟนเซอร์วิสในหนังทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจเเบบไม่ได้ยัดเยียดมากมายเเละก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งทุกประการเลย
–
คะเเนน 7.5/10
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
The Bloody Hundredth (2024) สุดยอดฝูงบินที่ 100
8.3