KUBHD ดูหนังออนไลน์ Cafe Society เต็มเรื่อง
รีวิวหนัง
CAFE SOCIETY (2016) ณ ที่นั่นเรารักกัน || Score : 8.5/10
.
ขึ้นชื่อว่า “ความสัมพันธ์” …มันซับซ้อนเสมอ ดูหนังออนไลน์
ภาพยนตร์พูดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนที่เกิดขึ้นที่ “ฮอลลีวูด” เมืองที่หลายๆ คนเดินทางเข้ามาเพื่อตามความฝัน ซึ่งพระเอกของเรื่องนี้ก็เลือกที่จะทำแบบนั้นเหมือนกัน เขาต้องการมีชีวิตใหม่ ละทิ้งชีวิตเก่าที่แสนน่าเบื่อ ซึ่งการตัดสินใจของเขานั้น ก็ทำให้เขามีชีวิตใหม่จริงๆ โดยเริ่มจากการมีความรักที่ทำให้เขาไม่มีวันลืมเลย
.
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับศิลป์ได้สวยมาก ตลอดเวลาที่รับชมภาพยนตร์รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในปี 1930 เห็นสภาพสังคมของคนยุคนั้น ทั้งร่ำรวยมหาศาล จนถึงประชาชนรากหญ้า ส่วนตัวแอดมินไม่ได้คาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสนุกอะไรมากมาย เพราะโครงเรื่องกับตัวอย่างก็ดูเฉยๆ แต่คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีประโยคเด็ดๆ เกี่ยวกับความรักแฝงอยู่ในเรื่องแน่นอน เลยตัดสินใจไปดู แต่สิ่งที่ทำให้แอดมินแปลกใจสุดๆ ก็คือการเล่าเรื่องที่มีเสน่ห์ เล่าออกมาได้สนุก ไม่น่าเบื่อ เหมือนธีมภาพยนตร์ที่นำเสนอให้เห็นในตัวอย่าง เป็นได้ทั้งดราม่า และคอมมาดี้ ที่กำลังพอดี ดูไปยิ้มไป (ถึงแม้บางมุก เราจะไม่เข้าใจก็เถอะ) ตลอดการรับชมภาพยนตร์เหมือนเรานั่งอยู่บนเรือ ชมนิทรรศการชีวิตของคนกลุ่มหนึ่ง โดยมีสายน้ำที่ไหลเฉื่อยๆ พาเราไปจนถึงปลายทาง…ปลายทางที่ไม่ใช่แค่ทางออกเดียว แต่เป็นปลายทางเปิดกว้างสู่มหาสมุทรที่ใหญ่จนเราจินตนาการต่อไม่ถึง
.
ตัวละครแต่ละตัวมีเสน่ห์มากๆ โดยเฉพาะคนในครอบครัวพระเอก ที่มีจุดยืนมากๆ (ชอบตัวละครพี่ชายชื่อ เบน มาก โจ๊กแบบมีเสน่ห์) คริสเตน สจ๊วต (บังเอิญได้ดูหนังที่นางแสดงอีกละ) ปกติจะติงความหน้านิ่งของนางมาตลอด แต่ในเรื่องนี้นางทำหน้าที่ได้ดี นางดูสวย ดูสง่า จนชายใดที่อยู่ใกล้ต้องตกหลุมรัก ซึ่งทำให้เราเชื่อจริงๆ และในตัวละครอื่นๆ ภาพยนตร์ก็จับตัวละครแต่ละตัวออกมาเล่าเรื่องในมุมมองของชีวิตที่แตกต่างกันไป มันจึงทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีมิติ มีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง จนทำให้หนังเรื่องนี้ไม่น่าเบื่อ ไม่ได้โฟกัสเฉพาะแค่เรื่องความรักเพียงอย่างเดียวจนเอียน แต่ที่ชอบที่สุดของเรื่องนี้ก็คือบทที่จับต้องได้ และเกิดขึ้นจริงในชีวิตแน่ๆ ไม่มีโลกสวยใดๆ ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวมันเอง ซึ่งในเรื่องความรัก ไม่ว่าผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
.
“การรักข้างเดียวฆ่าคนตายมากกว่าวัณโรคอีกนะ”
.
“ชีวิตคือหนังตลก ที่เขียนโดยนักเขียนบทตลกแสนซาดิสม์” ประโยคที่นิยามหนังเรื่องนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว
.
อยากเม้าส์มากกว่านี แต่กลัวจะสปอย* ฮ่าๆ
Café Society (2016) . . . ลืมได้ไหม ใครคนนั้น…?
(ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
“ชีวิตคนเรามันก็เหมือนกับหนังตลกที่ถูกเขียนบทโดยนักเขียนซาดิสม์”
ประโยคเดียวเท่านั้นแหละครับที่ตัวละครหนึ่งในหนังได้กล่าวเอาไว้ก็แทบจะบอกเล่าความเป็นหนังทั้งเรื่องและปิดจบได้โดยไม่ต้องรีวิวอะไรกันอีกแล้วเลยทีเดียว #สวัสดี #บ๊ายบาย #เดี๋ยวเอ็งจะรีบไปไหน และนอกจากนั้นประโยคเดียวกันนี้ยังสามารถสื่อสารถึงอารมณ์ขันอันมากล้นและอารมณ์หนังสไตล์วู้ดดี้ อัลเลนที่ในคราวนี้มีความท๊อปฟอร์มและทำหน้าที่ได้อย่างร้ายกาจเหลือเกินจริงๆ
ความตลกของชีวิตที่ Woody Allen เล่าถึงในคราวนี้มันมีเรื่องราวเกี่ยวกับ Bobby เด็กหนุ่มจาก New York ที่เดินทางไปตามหาลุงผู้มีอิทธิพลในแวดวงภาพยนตร์ที่ Hollywood เพื่อจะหางานดีๆอะไรก็ได้ทำ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ Bobby ได้รับมากกว่างานจากลุงก็คือโอกาสในการได้ทำความรู้จักกับ Vonnie เลขาหน้าห้องของลุงที่เขาปิ๊งทันทีเมื่อแรกพบสบตา ก่อนจะพยายามพัฒนาความสัมพันธ์กันมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้ามันสวยงามฟีลกู๊ดแบบนี้ต่อไปนี่คงไม่ใช่หนัง Woody Allen ครับ เพราะในท้ายที่สุดแล้วความตลกร้ายของชีวิตที่ถูกเขียนบทอย่างซาดิสม์โดย Woody Allen ก็เริ่มทำงานอย่างหนักหน่วง และโดยสรุปแล้ว มันจะทำให้เราได้ซาบซึ้งถึงความบ้าบอของสิ่งที่เรียกว่าความรักและผลลัพธ์ของการคิดถึงรักครั้งเก่าๆที่บางครั้งมันก็ WTF เกินกว่าที่คิดจนอาจจะตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว
ก่อนอื่นต้องบอกว่านี่เป็นหนังของปู่วู้ดดี้ที่ตลกที่สุดเท่าที่เคยดูมาแล้วก็ว่าได้ ผมนี่ขำมันทั้งเรื่อง ขำจนแทบขาดใจตาย ขำจนต้องร้องขอชีวิต (ไม่เว่อนะ๕๕๕) ซึ่งในขณะเดียวกันไอ้เรื่องราวที่ผู้ชมกำลังขำนั้นมันก็คือความทุกข์ทรมานขนาดหนักของตัวละครเคราะห์ร้ายที่ถูกนักเขียนบทโรคจิตอย่าง วู้ดดี้ อัลเลน รังสรรค์และนำพาเราไปสู่การรับรู้และเผชิญหน้ากับภาพสะท้อนของความตลกร้ายที่โคตรจะรุนแรงและร้ายกาจของชีวิตที่เราทุกคนล้วนต้องเผชิญอย่างขำขื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
กล่าวคือสิ่งที่หนังพยายามจะเล่าอย่างเรื่องความตลกร้ายของชีวิตที่บางครั้งมันก็ดูราวกับมีใครเขียนบทให้นั้น ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสนุกสนานและลื่นไหลจนบางทีเราเองก็อาจจะไม่ทันนึกเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันล้วนแต่เป็นภาพคุ้นๆที่เราเห็นกันได้บ่อยๆในโลกแห่งความจริงทั้งนั้น
เปรียบไปแล้วก็คล้ายๆกับว่าชีวิตเรานั้นมันก็เหมือนการเข้าไปร่วมวงในคาเฟ่ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าสังคมนั่นเอง ตามปรกติของทุกคาเฟ่ที่มันย่อมเต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิตที่แต่ละคนนำมาเล่าสู่กันฟัง และก็ตามปรกติของการเข้าสังคมที่มันย่อมเต็มไปด้วยหน้ากากที่ฉาบเอาไว้อย่างแน่นหนากับการพยายามแสดงออกแต่สิ่งที่เขาต้องการให้เห็นจนบางทีก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าข้างในเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสังคมที่ Hollywood ของน้า Bobby หรือคาเฟ่ของ Bobby เองใน New York หรือจะเป็นตัวหนังเรื่องนี้เองก็ตามแต่ มันก็คือการจำลองภาพอย่างย่นย่อของการใช้ชีวิตแบบสัตว์สังคมของมนุษย์ที่อันแสนซับซ้อนและยากจะคาดเดาในผลลัพธ์และสิ่งที่ต้องเจอนั่นเอง
ทางด้านอารมณ์หนังนี่เอาจริงๆผมว่ามันมีความคล้ายคลึงกับ Vicky Christina Barcelona + Annie Hall + Midnight in Paris ค่อนข้างแรงเหมือนกันนะครับ แต่ที่แรงสุดก็น่าจะเป็นฟีลในแบบ Midnight in Paris นั่นแหละ ที่หนังมันสามารถมอบเสน่ห์อันไม่น่าเชื่อให้กับเรื่องราวที่แม้ว่าผู้ชมจะไม่ได้มีความรู้มาก่อนเลยแต่ก็ยังกำกับออกมาให้เราอินกับมันและสามารถรับรู้ความคลาสสิคของยุคสมัยที่เกิดไม่ทันได้อย่างง่ายดาย
คืออย่างในเรื่อง Midnight in Paris เนี่ยครับหนังมันจะพาเราไปเจอบรรดานักเขียน/ศิลปิน คลาสสิคดังๆในอดีตหลายคนที่เราอาจไม่เคยรู้จักไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่เราก็จะสามารถสัมผัสได้ชัดมากว่าคนพวกนี้เค้าเจ๋งและคูลมากตามยุคสมัย
ใน Cafe ก็เช่นกันที่หนังมันดำเนินอยู่ในยุค 1930 ช่วงที่ฮอดลีวูดกำลังบูม เราจึงได้เห็นเรื่องราวแวดล้อมเกี่ยวกับนักแสดงและวงการภาพยนตร์ในสมัยนั้นแบบเต็มๆ ซึ่งเอาตรงๆคือผมไม่รู้จักใครสักคนที่ตัวละครมันพยายามจะกัดจะแขวะจะเสียดสีเลยแม้แต่น้อย แต่ผมเองก็ยังอินกับมันได้ผ่านการเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาแบบอ้อมๆ (และเสียง Narrator เป็นระยะๆ) ให้เราค่อยๆเข้าใจและหลงรักยุคสมัยนั้นไปทีละน้อย และรู้สึกได้เลยว่าการเล่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเสน่ห์ที่มีแต่ชายที่ชื่อ Woody Allen จะทำได้อย่างนุ่มนวลจริงๆ ไม่สิต้องบอกว่าคราวนี้ปู่แกทำออกมาละมุนกว่าครั้งไหนๆเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เรื่องราวมันแอบโหดร้ายไม่เบาถ้าให้ผกก.คนอื่นมาเล่า แต่ปู่แกกลับสามารถกำกับให้ออกมามีความเป็นละเมียดละไมและเต็มอิ่มไปด้วยอุ่นไอแห่งความรัก ความคิดถึง และความไม่แน่นอนของหัวใจได้อย่างยอดเยี่ยมจนถึงขนาดที่หนังจบแล้วเราเองก็อาจจะเผลอคิดถึง “ใครคนนั้น ที่ยังลืมไม่ลง” แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนขึ้นมาแอบไม่ทันตั้งตัวตั้งใจเลยทีเดียว
เรียกได้ว่ามาเจอปู่แกโหมดจริงจังแบบนี้เข้าไปนี่ต้องกราบจริงๆครับ ไหนจะได้คู่ขวัญที่ผมโคตรรักอย่าง Jess / Kristen มาเล่นอีก ทั้งยังดึงเสน่ห์ของสองคนนี้เวลาเข้าทำกันบนจอออกมาได้แบบสุดๆเสียด้วย (โดยเฉพาะ Kristen เองในเรื่องนี้เจอปู่แกปรุงเสน่ห์ออกมาซะหยาดเยิ้มมากครับ สวยสุดๆไปเลยเชียว) คือช่วงนี้หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยโอเคกับหนังที่กำลังเข้าฉายเยอะๆมีรอบท่วมโรงกันเท่าไหร่นัก เอาเป็นว่าถ้าใครพอหารอบที่สะดวกไปดูได้ก็ขอแนะนำเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจนะครับ เอาชื่อปู่วู้ดดี้เป็นเดิมพันจ้ะ (y)
————————————————————
IMDb : 7.1
Rottentomatoes : 78% (Avg. 6.3)
Metascores : 66
ผู้กำกับ
วูดดี อัลเลน
บริษัท ค่ายหนัง
กราวิเยร์โปรดักชันส์
เปร์ดิโดโปรดักชันส์
ฟิล์มเนชันเอนเตอร์เทนเมนต์
นักแสดง
เจสซี ไอเซนเบิร์ก
คริสเตน สจ๊วต
สตีฟ คาเรล
เบลก ไลฟ์ลี
พาร์กเกอร์ โพซี
จีนนี เบอร์ลิน
คอรีย์ สโตลล์
เคน สตอตต์
โปสเตอร์หนัง
เรื่องย่อ
Cafe Society (2016) ณ ที่นั่นเรารักกัน ในปี 1930 ฮอลลีวูดตัวแทนผู้ทรงอิทธิพลฟิลสเติร์นกำลังเข้าร่วมงานปาร์ตี้และรับโทรศัพท์จากพี่สาวของเขาที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก เธอของานให้ลูกชายของเธอและบ็อบบี้หลานชายของฟิลซึ่งตัดสินใจย้ายไปฮอลลีวูด สามสัปดาห์ต่อมาฟิลนัดพบบ็อบบี้และตัดสินใจช่วยเขา เขาขอให้เวโรนิกา “วอนนี่” เลขานุการของเขาไปไหนมาไหนกับบ็อบบี้และแสดงให้เขาเห็นสถานที่ท่องเที่ยว บ๊อบบี้ตกหลุมรักวอนนี่ทันที แต่เธอบอกว่าเธอมีแฟนเป็นนักข่าวที่ต้องเดินทางเกือบตลอดเวลา อย่างไรก็ตามแฟนของวอนนี่เป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้วและก็รักเธอและในไม่ช้าเธอก็ต้องเลือกระหว่างความรักของเธอสองคน
เต็มเรื่องเป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กซิตี้และฮอลลีวูดในช่วงทศวรรษที่ 1930 ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของความรักและความสัมพันธ์ในรูปแบบที่เล่าผ่านความตื่นเต้นและเสน่ห์แห่งยุคสมัยเรื่องราวเริ่มต้นที่บ็อบบี (เจฟฟรีย์ เดแรน) เด็กหนุ่มจากบรู๊คลินที่เดินทางมานิวยอร์กเพื่อค้นหาโอกาสทางความบันเทิง ที่นี่เขาได้รับความช่วยเหลือจากลูกสาวของ Anabel Foreman (Christine Wimber) ให้ทำงานในร้านกาแฟของเธอ และไล่ล่าความฝันในวงการบันเทิงที่นิวยอร์ก
ภาพยนตร์เรื่องนี้รวบรวมรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและร่วมสมัยของทศวรรษที่ 1930 ด้วยการสร้างมหานครที่เต็มไปด้วยแสงสีและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ฉากภายในร้านกาแฟที่เป็นเวทีกำเนิดเรื่องราวและความรักทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่ยุคอดีตเรื่องราวของ “คาเฟ่ โซไซตี้” ไม่ใช่แค่ความรักที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังแสดงถึงการตัดสินใจในชีวิตที่ทำให้เราต้องเลือกระหว่างความฝันกับความสัมพันธ์ของเรา รูปแบบบทสนทนาและพฤติกรรมของตัวละครมีส่วนสำคัญในการสร้างความสมจริงและความซับซ้อนของเรื่อง
หากคุณชื่นชอบความรักและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน รวมถึงความโรแมนติกที่เกิดขึ้นในยุคนั้น คุณอาจพบความสุขในการรับชม แห่งนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานความโรแมนติกและความรักในแวดวงบันเทิงในยุคสุดฮอลลีวูดที่จะพาคุณย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาพิเศษ!
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Night Rain and Autumn Lantern Hear Strange Stories (2024) เรื่องลึกลับคืนฝนตกกับโคมไฟฤดูใบไม้ผลิ
Kingdom of the Planet of the Apes (2024) อาณาจักรแห่งพิภพวานร
8.3