ดูหนัง ออนไลน์ Jack Reacher Never Go Back 2 เต็มเรื่อง (2016) ยอดคนสืบระห่ำ 2
เรื่องย่อ
แจ็ค รีชเชอร์ (ทอม ครูซ) ต้องย้อนกลับไปสมัยอยู่ในกองทัพทหารเวอร์จิเนีย ที่ซึ่งเขาได้ชวนผู้บังคับบัญชาหญิงออกไปทานอาหารค่ำ แต่เมื่อ รีชเชอร์ มาถึง เธอกลับถูกจับตัวไว้แล้ว ทำให้ รีชเชอร์ ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ในขณะที่ รีชเชอร์ จำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงมุ่งมั่นพยายามตามหาความจริง
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง Jack Reacher Never Go Back 2 (2016) ยอดคนสืบระห่ำ 2 หนังประเภท Thriller ระทึกขวัญ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง ดูหนังออนไลน์ หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
Edward Zwick
บริษัท ค่ายหนัง
- Skydance Media
- Cruise/Wagner Productions
นักแสดง
- Tom Cruise
- Cobie Smulders
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
สมาชิกหมายเลข 3409017
รีวิว Jack Reacher Never Go Back 2 (2016) ยอดคนสืบระห่ำ 2
By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
หลังจากประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจกับหนังเรื่อง Jack Reacher เมื่อ 4 ปีก่อน ที่ในภาคแรกสร้างจากนิยายชุด Jack Reacher ในตอน One Shot จากปลายปากกาของ ลี ไชลด์ มีปีนี้ภาคใหม่ของบุรุษพเนจรอดีตสารวัตรทหาร ก็สร้างจากนิยายชุดเดิม โดยหยิบตอน Never Go Back มาสร้างเป็นภาคสอง และส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับ เอ็ดเวิร์ด ซวิคค์ เจ้าของผลงานหนังดีอาทิ The Last Samurai
ในภาคใหม่นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสได้อ่านนิยายที่เป็นต้นฉบับก่อนที่จะเข้าไปชมภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของ แจ็ค รีชเชอร์ อดีตสารวัตรทหารผู้เคยเป็นผู้บัญชาหน่วยทหารพิเศษ 110 กำลังเดินทางกลับมาที่หน่วยเก่าในรัฐเวอร์จิเนีย เพื่อมาพบ ซูซาน เทอร์เนอร์ ทหารหญิงที่กำลังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วย 110 คนปัจจุบัน แต่เมื่อมาถึง รีชเชอร์กลับพบว่า เทอร์เนอร์โดนจับกุมข้อหาจารกรรมขายชาติ และตัวเขาเองก็กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเมื่อ 16 ปีก่อน และคดีเกี่ยวข้องกับลูกสาว (ที่เขาเองไม่เคยรู้ว่ามี) ของตนเองอีกด้วย รีชเชอร์จึงใช้สมองและความสามารถของตนเองพาเทอร์เนอร์หนี และเดินหาตามหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเพราะเหตุผลใดกันแน่ นี่คือเรื่องราวในฉบับนวนิยาย
การดัดแปลงนิยายสู่ภาพยนตร์ในภาคนี้
ต้องเท้าความถึงหนังในภาคแรกก่อนว่า ในภาคแรก Jack Reacher เป็นหนังสืบสวน แอ็คชั่น ที่ดำรงความเป็นหนังสืบสวน ตามหาความจริง มากกว่าที่จะเน้นฉากแอ็คชั่นมันส์ระห่ำ ทำให้หนังในภาคแรกเต็มไปด้วยฉากที่พูดและเน้นการสืบคดีที่ชิงไหวชิงพริบเสียมากกว่า
แต่หนังภาคล่าสุด อาจเป็นผลจากความต้องการด้านการตลาดมากขึ้น หรือมีเสียงเรียกร้องว่าภาคแรกน่าเบื่อเพราะฉากแอ็คชั่นมีน้อยเกินไปรึเปล่าก็ไม่ทราบได้ เพราะภาคนี้ได้เปลี่ยนโทนหนังจากหนังสืบสวนเข้ม ๆในภาคแรกให้เป็นหนังแอ็คชั่นไล่ล่าเต็มรูปแบบเป็นที่เรียบร้อย โดยได้ตัดประเด็นปัญหาจากในฉบับที่นิยายออกไปเกือบหมด เหลือไว้เพียงประเด็นหลักอย่างคดีของเทอร์เนอร์ คดีลูกสาวของรีชเชอร์ และคงเหล่าตัวละครสบทมเด่น ๆในฉบับนิยายไม่กี่ตัว สร้างตัวร้ายหลักที่เป็นคู่ปรับของรีชเชอร์ (ที่ในฉบับนิยายไม่มี เพราะรีชเชอร์เก่งเสียจนไม่มีใครมาสู้ได้เลย) อีกทั้งประเด็นหลักก็ยังรวบรัดตัดความและแต่งเติมให้ดูง่ายดายกว่าฉบับนิยายอีกต่างหาก
และในหนังเน้นประเด็นของซาแมนธา ลูกสาว(ปริศนา)ของรีชเชอร์มากกว่าฉบับนิยายมาก ที่บทหนังกำหนดให้ร่วมหัวจมท้ายกับรีชเชอร์ตั้งแต่แรกเริ่มไปจนจบเรื่อง (ต่างกับฉบับนิยายตัวละครลูกสาวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการและการตามความจริง ที่กว่าจะเจอกันเรื่องก็เดินไปจนใกล้จบแล้วด้วยซ้ำ)
ข้อเสียของการตัดเสริมเติมแต่ง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงกลายเป็นว่า หนังได้ลดทอนทั้งความหนักแน่นและเข้มข้นของเส้นเรื่องหลักไป กลายเป็นเรื่องราวไม่สำคัญเท่ากับการไล่ล่ากันระหว่างรีชเชอร์และตัวร้ายหลัก และฉากของลูกสาวปริศนาของรีชเชอร์ที่เป็นฉากชวนหัว ชวนยิ้ม ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของรีชเชอร์และซาแมนธาที่จะชวนให้คนดูคิดถึงเรื่องสายเลือดของทั้งสองว่าเป็นสายเลือดเดียวกันหรือไม่ ?
เพราะปัญหาคือ บทภาพยนตร์ที่ต้องการเน้นฉากแอ็คชั่นมากเกินไปจนลืมคำนึงถึงตรรกะ เหตุผล จนบทหนังเกิดช่องโหว่เพียบ โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นคดีของเทอร์เนอร์ ที่ปูมาด้วยปัญหาเรื่องราวใหญ่โต สุดท้ายแก้ไขแบบง่าย ๆ คลี่คลายแบบง่าย ๆ จนรู้สึกไม่มีช่องให้คนดูได้ลุ้นอะไรเลย และเมื่อเป็นการแก้ไขแบบง่าย ๆแล้ว ทำให้จุดประสงค์ของการกระทำฝั่งตัวร้ายที่ดู (เหมือน) จะมีแผนลึกลับซับซ้อน จัดการทุกอย่างให้ดูมีปริศนาและเป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายสาเหตุที่ทำไปทุกอย่าง กลับเป็นเหตุผลที่ง่ายมากซะจนต้องอุทานในใจว่า เพื่อแค่นี้เองเหรอ?
แต่ฉากแอ็คชั่นที่ดูเป็นจุดขายของทางผู้สร้าง ก็ต้องบอกว่าทำได้ดี ส่วนตัวยอมรับว่าฉากไล่ล่าต่าง ๆทำได้สนุก ตื่นเต้น (โดยเฉพาะไคลแมกซ์) ด้วยโทนอารมณ์ที่คล้ายกับ Mission Impossible อยู่กลาย ๆ เหมือนกัน
ข้อดีของการตัดเสริมเติมแต่ง
ต้องบอกว่าก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้วกลับชอบเวอร์ชั่นภาพยนตร์มากกว่า หากเทียบกับฉบับนิยาย เพราะในฉบับนิยายสำหรับตอนนี้รู้สึกว่าผิดหวังพอสมควรอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่ผู้เขียนสร้างเรื่องราวมาเสียใหญ่โต แต่ผลสรุปของเรื่องกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมกับสิ่งที่ปูทั้งเรื่อง (ก็คือปัญหาเดียวกับเวอร์ชั่นหนัง ที่เป็นปัญหามาตั้งแต่ฉบับนิยายแล้ว) นอกจากนั้นนิยายดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าและยืดยาว จำนวนหน้าหนังสือส่วนใหญ่หมดไปกับเหตุการณ์หนี หนี และหนี ดังนั้นการที่บทหนังนำนิยายมารวบรัดตัดความ ทำให้เรื่องราวดูเร็วขึ้นและกระชับกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม บทหนังก็ควรจะมีความละเอียดในแง่เหตุผลมากกว่านี้ ไม่ใช่รวบรัดเสียจนเกิดช่องโหว่ และให้ความรู้สึกถึงความไม่ใส่ใจในบท
ฉากแอ็คชั่นตอนนี้ในนิยายมีน้อย น้อยเกินไป ไม่มีฉากใหญ่ ๆแค่เป็นการสู้ประชิดตัวเอาตัวรอด (ซึ่งแต่ละครั้งก็ดูไม่เป็นปัญหาของรีชเชอร์เลยแม้แต่น้อย)
ดังนั้นการที่หนังเพิ่มฉากเหล่านี้ขึ้นมาทำให้ดูเหมาะสม และสนุกขึ้น สนุกกว่านิยายที่มีแต่การหนีและคิดแผนการต่าง ๆ นอกจากนั้นการเพิ่มตัวร้ายหลักที่ถูกกำหนดให้ป็นคู่ปรับของรีชเชอร์ในภาคนี้ จุดนี้ก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะทำให้คนดูได้เห็นรีชเชอร์เพลี้ยงพล้ำบ้าง ตกเป็นรองบ้าง เพิ่มอรรถรสของหนังได้ เพราะในนิยายไม่มีตัวร้ายหลักที่ฝีมือทัดเทียมและทันเกมส์รีชเชอร์ได้เลยสักคน ทำให้คนอ่านทำได้แค่ติดตามดูบรรดาเหล่าร้ายย่อยยับจากความฉลาดและเก่งเกินคนของรีชเชอร์เพียงอย่างเดียว
การเพิ่มความสำคัญของตัวละครซาแมนธา โดยส่วนตัวจุดนี้นับว่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นความรู้สึกตั้งแต่อ่านนิยายแล้วว่า ตัวละครซาแมนธามีความสำคัญและมีบทบาทกับเรื่องน้อยเกินไปหน่อย เพราะต้องขอสารภาพว่าในฉบับนิยายในช่วงที่รีชเชอร์เกี่ยวข้องกับซาแมนธานั้นเป็นช่วงที่ชอบที่สุดในฉบับนิยาย เพราะเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชน การต่อปากต่อคำ และเคมีของสองตัวละครที่มีความน่าสนใจในความคล้ายคลึงกันเรื่องความฉลาด ไหวพริบและนิสัย แต่ก็อย่างที่กล่าวไปว่าผู้เขียนก็ให้เวลาซาแมนธาสั้นเสียจนน่าเสียดาย ในหนังจึงให้เวลากับซาแมนธาอย่างเต็มที่จนเป็นหนึ่งตัวละครสำคัญของภาคนี้ไปโดยปริยาย
ซึ่งในจุดนี้ส่วนที่ชอบที่สุด คือการที่การมีซาแมนธาทำให้เราได้เห็นแง่มุมอีกแง่มุมของรีชเชอร์ที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน นั้นคือแง่มุมของความอ่อนโยนและการเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก แง่มุมเหล่านี้รีชเชอร์ไม่เคยแสดงออกมาให้เราได้เห็น หากไม่มีเด็กผู้หญิงชื่อซาแมนธา .
ขอบคุณรูปภาพจาก Fanpage FB Jack Reacher Movie
choord
[CR] #เตือนเตรียมใจก่อนไปดู JACK REACHER 2 : หนังแอ็คชั่นที่ออกแบบฉากเพื่อผู้สูงอายุ
#เตือนเตรียมใจก่อนไปดู
JACK REACHER 2 : หนังแอ็คชั่นที่ออกแบบฉากเพื่อผู้สูงอายุ
1. ถ้าจะดูก็เพราะว่าทอมครูทเล่น หนังก็ตอบโจทย์ทุกอย่างที่ทอมครูทควรจะมีและควรจะเป็น ใครที่เป็นแฟนหนังทอมครูทรับรองไม่ผิดหวัง
2. เป็นหนังแนวชิงไหวชิงพริบ พยายามให้ทอมครูทดูฉลาดและโดดเด่น เหมือนเล่นตามกติกา แต่ก้เหมือนคิดนอกกรอบ ทำให้รอดจากสถานการณ์เฉียดตายได้อย่างหวุดหวิด ก็ดูไปก็พอจะลุ้นกันไปแบบเพลินๆ เติมเต็มด้วยแอ็คชั่นยิงต่อสู้ บู้เตะต่อยประมาณนึง ทำให้หนังดูสนุกมากยิ่งขึ้น
3. ฉากแอ็คชั่น….ที่บอกว่าออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุ คือฉากใหญ่ที่ทอมสู้กับคู่ปรับ มันช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ก็เข้าใจว่าพระเอกจะมาแสดงอะไรๆที่ต่อยเตะรวดเร็วคงไม่ค่อยไหว แต่ในด้านความดุดัน ก็พอโอเค (ย้ำว่าแค่พอโอเค) ฉากที่ชอบคงมีฉากออกจากคุกมั้งที่แม้จะไม่โฉ่งฉ่างอะไรมาก แต่ก็พอจะลุ้นได้นิดนึง
4. การแสดง…ทอมครูทชักสีหน้าบ่อยดี (ดูๆไปนึกถึงกิฟใน ncis โดยเฉพาะการเตือนด้วยสายตา ดูน่ารักหล่อไปอีกแบบ) หนังพยายามให้ทอมครูทดูฉลาด ดูเท่ ก็ทำได้ระดับนึง (แต่ไม่เท่ตีเนียนเก่งเท่ากับภาค 1 ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็เล่นได้ดีในระดับดาวล้อมเดือน คือดูดีแต่ไม่โดดเด่นอะไรมาก (คือยังไงทอมก็ต้องเด่นสุดอยู่ดี)
5. งานสร้าง…ดีระดับมาตราฐาน (ที่สูงพอใช้) พยายามใส่บรรยากาศไตล์ mission impossible หลายฉากอยู่ พยายามดราม่าสไตล์ทอมครูท ต้องมีฉากที่โชว์ซิกแพ็คชองทอมครูท ต้องมีฉากทอมครูทถูกซ้อม
6. และด้วยเป็นหนังทอมครูท แน่นอนว่าช่วงหลังๆหนังทอมครูททุกเรื่องจะตัดฉากโรแมนติกที่ควรจะมีบ้างออกไปเกือบหมด เพิ่มเติมความอบอุ่นแบบพ่อลูกขึ้นมาอีกนิด (แต่ดูๆแล้วเหมือนเลี้ยงต้อยไปหน่อยแค่นั้นเอง แซวเล่น)
7 แอ็คชั่นน้อยไป (แต่อาจจะเพราะหนังพยายามเป็นหนังสายลับ เลยไม่เน้นฉากแอ็คชั่นก็ได้) ่ในฐานะของหนังสายลับก็ทำได้แค่พอใช้… และในบางจังหวะ อาจจะแอบทำให้ตาปรือได้นิดนึงด้วยซ้ำ
8. จริงๆเข้าใจว่าหนังก็พยายามหาเนื้อเรื่องอะไรที่แปลกใหม่ให้ทอมครูทได้เล่นบ้าง ทีมงานก็พยายามสร้างสรรอะไรหลายอย่าง ซึ่งบางอันก็ดูรู้เรื่อง บางอันก็งงๆ บางเรื่องก็แปลกๆ (แต่ก็โอเคนะ ยังพยายามกันอยู่ ไม่ใช่แค่สร้างหนังมาให้เสร็จๆเพื่อหวังโกยเงินอย่างเดียว)
9. สรรสาระ…การฝึกคิดนอกกรอบ ทำอะไรแหกกฎกติกาบ้าง ก็สะดวกรวดเร็ว ฉลาด และดูดี แต่ต้องอย่าล้ำเส้นจนเอาเปรียบคนอื่น (แต่ก็ต้องฝึกเอาตัวรอดไม่ให้ใครมาเอาเปรียบเราเหมือนกัน)
10. แฟนหนังทอมครูท ก็คงไม่ผิดหวังอะไรมาก หนังก็ check point ได้ทุกอย่างที่หนังทอมครูทควรจะมีในช่วงหลังๆ (และก็ยังพยายามเพิ่มเติมอะไรใหม่ๆบ้าง แม้จะทำได้ไม่มากก็ตาม) ให้คะแนนก็ 6.9/10 ถ้าเทียบกับหนังทอมครูทเรื่องเก่าๆครับ
นักเลงโรงหนัง
— รีวิว Jack Reacher : Never Go Back 7/10 คะแนน —
.. ภาคแรกผมก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมายเท่าไหร่ หนังมันก็พอไปไหว ดูเอามันส์ได้อยู่ ภาคสองผมเลยรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ตั้งความหวังใว้ มันเลยไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย โดยรวมแล้วยังเป็นหนังแอคชั่น(น้อย)ที่ยังดูสนุกใช้ได้เลยถ้าไม่คิดอะไรมาก จุดแข็งจุดเดียวของหนังเรื่องนี้คือเฮียทอมของเราอย่างแท้จริง ระหว่างที่นั่งดูก็คิดเล่นๆว่าถ้าพระเอกเป็นใครไม่รู้ซักคนมาเล่น Jack Reacher ภาคนี้จะกลายเป็นหนังเกรดน้ำทิพย์ไปในทันที แต่ด้วยบุญเก่าของเฮียทอมและตุ่มยุงกัดบนใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้หนังเรื่องนี้ยังพอทนนั่งดูได้อยู่นะ
.. แอบคิดว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้ทำไมมันดูอ่อนปวกเปียกจังเลยวะเนี่ย เหตุผลในการไล่ล่า มันไม่ได้มีน้ำหนักขนาดเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น แรกๆจะงงมากว่าใครคือตัวร้าย ตัวดี และที่ตัวร้ายทำมันคืออะไรวะ ผมไม่รู้ว่าหนังมันเล่าเรื่องให้ งง หรือผมโง่ 55555555 มาถึงบางอ้อก็ตอนใกล้จบแล้วว่าที่คนร้ายทำมันคืออะไร ฉากแอคชั่นในเรื่องมีน้อยยยยยยยมาก น้อยยิ่งกว่าเงินในบัญชีตอนสิ้นเดือนซะอีก ฉากใหญ่ๆก็มีแต่ที่เห็นไปในตัวอย่างหมดแล้ว ไม่มีอะไรเพิ่มเติม แต่สิ่งที่ทำให้หนังมันยังพอไปไหวก็คือฉากไล่ล่าและความเท่ห์ในการทำหน้านิ่งๆของเฮียทอมเรานี่แหละ ..
.. หนังประเภทนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าได้รับแรงบัลดาลใจมาจากเรื่องเดียวกันรึเปล่า ที่มันจะต้องมีตัวละครฝั่งพระเอกที่โง่ๆ 1 คนมาทำให้เรื่องราวมันดูวุ่นวายๆ ดูๆไปความรู้สึกเหมือนตอนนั่งดู Taken เลย ที่พ่อตามปกป้องลุกสาว แต่เรื่องนั้นเจ๋งกว่าเยอะ ส่วนเรื่องนี้ด้วยบทและเหตุผลอะไรหลายๆอย่างมันดูขัดๆยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก ในส่วนของตัวร้ายมันไม่ได้ดูมีอิมแพคอารีน่าอะไรเลย จะทำการใหญ่ขนาดนี้แต่การป้องกันตัวเองมันดูหละหลวมมาก ผมไม่รู้ว่าเนื้อหาในหนังสือมันแน่นและสนุกขนาดไหน แต่เวอร์ชั่นภาพยนต์ ผมให้สอบตกเลยในส่วนของเนื้อหาและที่มาที่ไป ..
.. อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนที่ไปดูคงจะใจแป้ว แต่ช้าก่อนสหาย ผมให้ตั้ง 7 คะแนน หนังมันก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง ฉากเท่ห์ๆในหนังมีเยอะพอสมควรเลย อาจไม่ได้เห็นการทำงานกันเป็นทีมเท่ๆเหมือนตอนที่ได้ดู เฮียทอม เราแสดงเป็น อีธาน ฮันท์ แต่ Jack reacher ก็ได้ความดิบ การลุยเดี่ยวแบบเก๋ๆของพี่แกมาแทน อีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Jack Reacher ในภาคนี้คือดราม่าในเรื่องครอบตัวของตัวพระเอก ตอนจบอาจมีน้ำตาปริ่มนิดๆด้วย
.. สรุป .. ใครเป็นแฟนคลับ ทอม ครูซ และตั้งใจจะไปดูไปดูเลยครับ ไม่เสียดายเงินแน่นอน อาจไม่ประทับใจอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ทำให้หายคิดถึงเฮียแกได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังโหยหา อีธาน ฮันท์ มากกว่า แจ็ค รีชเชอร์ อยู่ดี
อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก
Jack Reacher Never Go Back 2 (2016) ยอดคนสืบระห่ำ 2 สนุกมากกกก ทุกอย่างดูง่ายไปหมด! 6/10
เอาจริงๆมองว่า Jack Reacher: Never Go Back นี่น่าจะสร้างให้คนดูเอาบันเทิงแบบเสพง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน ถามว่าหนังมันดูสนุกไหม คือดูสนุกแบบเอาตายเลยนะ ปมประเด็นอะไรไม่มีความซับซ้อนมากมาย ประเด็นปัญหาอุปสรรคถูกคลี่คลายด้วยอะไรโง่ๆ บ้าๆบอๆปัญญาอ่อนๆตลอดจนเราดูถามว่าหงุดหงิดไหม ก็ไม่นะ เพราะแบบเอาไงดี ก็พระเอกมันต้องชนะไง แล้วมันจะทำซับซ้อนไปทำไม แต่การลำดับเรื่องเดินเรื่องการเล่าเรื่องคือดีไง ดูแล้วไม่ปวดหัว ดูแล้วบันเทิ้งบันเทิง
เรื่องของ Jack Reacher อดีตนายพัน ที่นางย้ำบ่อยมากกกในเรื่องว่านางเป็นอดีต มีอันต้องกลับเข้ามาพัวพันในกองทัพอีกครั้ง เมื่อนายตรีหญิงเทอร์เนอร์ที่คุยโทรศัพท์เรื่องงานกันบ่อยๆนัดเจอกันที่ดีซี แต่พอเข้าไปในกองทัพเพื่อที่จะนัดกินข้าวหรือจะนัดเยกันอะไรสักอย่างนี่แหละ นางเกิดโดนรัฐบาลจับตัวไปในฐานะจารกรรมข้อมูล ทีนี้พระเอกเราก็รู้สิว่าโดนใส่ร้าย เพราะนั่นนางเอกนะ คุยกันทุกวัน จะมาเป็นคนจารกรรมข้อมูลได้ไง ก็เลยไปตามสืบสาวจนรู้ว่าอ๋อมันมีเรื่องพัวพันกับบริษัทค้าอาวุธที่ทุจริตนะ โดยมี จนท รัฐ มีเอี่ยวด้วย และมีการฆ่าปิดปากลูกน้องนางเอก พระเอกเลยเข้าไปช่วยนางเอกออกมา แล้วเรื่องมันก็อีรุงตุงนังตรงที่ว่าจู่ๆ Jack Reacher เนี่ยดันมีลูกสาวที่ไปไข่ทิ้งไว้เมื่อ 15 ปีก่อน ฝ่ายคนร้ายก็เลยวางแผนไล่ล่าตามจับลูกสาวพระเอกด้วย พระเอกเลยต้องหอบลูกสาวกับนางเอกหนีและตามล่าหาความจริงด้วย เรื่องราวประมาณนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก
แต่ที่สนุกจริงจังคือฉากไล่ล่าเยอะมากกกก ลุ้นระทึกดีงามมาก ดนตรีก็ดี ตัดต่อก็สนุก คิวบู๊ก็ดีงาม แต่ปัญหาคือ อะไรมันจะง่ายไปหมดทุกอย่าง อีแจ๊คมึงเก่งมากกกกกกก ไปถึงที่เกิดเหตุ มองหน้าต่าง มองซิ้งล้างจาน แล้วระลึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆยังกะเซ็นสื่อรักสื่อวิญญาณ แล้วคือเอาไงดี อีผู้ร้ายในเรื่องนี่ก็เก่งนะ แต่แบบฉันดูแล้ว ฉันมั่นใจว่าแกว่าเก่งยังไง บทมันต่้องให้พระเอกชนะใช่มะ แล้วอีพระเอกนางเอกแม่งก็สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีอะไรของมันก้สุดแล้วแต่ผุ้กำกับจะเอาสถานะรอบข้างมาใช้ให้เป็นประโยชน์แบบ เออกูจะให้มันแก้ปัญหาของมันให้ได้เแบบนี้แหละ แล้วอีลูกสาวพระเอกก็แบบ อีหอก มึงนี่คือตัวปัญหาเลย ก็สร้างแต่ปัญหา สร้างความฉิบหายให้แจ๊คกับนางเอกบ่อยมากกกกก แต่ดูนางก็ไม่แคร์เวิลด์ ออกแนวตัวละครวัยรุ่นน่ารำคาญ แต่ยอมรับว่านางน่ารักมากกกกก
ลุงครุยส์กับ Jack Reacher: Never Go Back ขอบันทึกเอาไว้เลยว่า หน้าพังแล้ว หน้าแน่นมากกกกก บวมเป่งเหมือนจะระเกิด มองเผินๆนึกว่าไปทำเฟซออฟที่เดียวกับคุณลุงสุรชัย สมบัติเจริญมาก คือส่วนตัวมองว่าไม่ไหวแล้วตอน MI5 นี่คือหล่อ แต่นี่คือพังพินาศ ขอบตาจะปิดแล้ว แล้วอ้วนมากกกกกกกกก แต่ถ้าถ่ายไกลๆมองไกลๆก็ยังได้อยู่ แต่ไกลมากลุงแกก็ตัวป้อมๆหุ่นเหมือนกะทิงไปนิด แต่คิวบู๊ดีงาม สวย ชอบ
นางเอก Cobie Smulders สวยบาดใจ หน้าคมมากกกกกก คือจะตะแคงมอง นั่งมอง นอนมองยังไงก็คือสวยโคตรๆ แอ้คติ้งงั้นๆ แต่นางหน้าตาน่ามอง ส่วนลูกสาว Danika Yarosh น่ารักจริงอะไรจริง ตัวร้ายหล่อดี ผู้ช่วยตัวร้ายก็หล่อ
สรุปเลยนะ หนังแม่งก็ชุ่ยนะ แต่สนุกแบบสนุกมากกก ดูตลอดเรื่องไม่น่าเบื่อเลย บารมี ทอม ครุยส์ ทำให้หนังดูเป็นหนังสตูดิโอได้ ถ้าไม่มีทอม ครุยส์ นี่พูดเลย จะเหมือนหนังเกรดบีไปเลย แต่คอนเฟิร์มว่าดูสนุกจริงอะไรจริง ให้ 6/10 ไม่กล้าให้มากกว่านี้ เพราะตรรกะเหตุผลมันไม่ได้จริงๆ
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
American Made (2017) อเมริกัน เมด
Knight and Day (2010) โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย
Collateral (2004) สกัดแผนฆ่า ล่าอำมหิต
6.3