ดูหนัง American Made (2017) อเมริกัน เมด
เรื่องย่อ
American Made (2017) อเมริกัน เมด ภารกิจระหว่างประเทศสุดกล้าและบ้าบิ่นจากการฝ่าฝืนกฎเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง ของแบรี่ ซีล นักธุรกิจและนักบินที่ได้รับคัดเลือกโดยซีไอเอ ที่จะดำเนินการอย่างลับๆครั้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง American Made (2017) อเมริกัน เมด หนังประเภท Crime อาชญากรรม เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง ดูหนัง ออนไลน์ หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
ดั๊ก ไลแมน
บริษัท ค่ายหนัง
- ครอสครีกพิกเจอส์
- อิแมจินเอนเตอร์เทนเมนต์
- Hercules Film Fund
- Quadrant Pictures
- Vendian Entertainment
นักแสดง
- ทอม ครูซ
- โดนัลล์ กลีสัน
- ซาราห์ ไรต์
- Jesse Plemons
- Caleb Landry Jones
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
ekka_eak
[CR] [#Review] American Made – หนังชีวประวัติที่เล่าเรื่องได้สนุก แต่ไม่ทำให้อิน
ถือว่าเป็นหนังที่ได้ดาราเบอร์ใหญ่อย่าง Tom Cruise มาดึงดูดคนได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะแค่ชื่อนักแสดงนำคนเดียว ก็น่าจะเรียกคนให้ไปดูเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องรู้เนื้อหาของหนังก็ได้ ซึ่งสารภาพว่า ผมนี่แหละคนนึงล่ะที่ติดกับดักของชื่อ Tom Cruise
American Made ภาพยนตร์ทริลเลอร์สร้างจากเรื่องจริงของแบรี่ ซีล นักบิน ที่ทำงานให้กับนักค้ายา และผันตัวมาทำงานให้ซีไอเอ ในภารกิจระหว่างประเทศสุดกล้าและบ้าบิ่นจากการฝ่าฝืนกฎเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง ของแบรี่ ซีล นักธุรกิจและนักบินที่ได้รับคัดเลือกโดยซีไอเอ ที่จะดำเนินการอย่างลับๆครั้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
เป็นหนังอีกเรื่องที่เอาเรื่องราวของ พาโบล เอสโคบา มาตีแผ่ แต่คราวนี้มาในรูปแบบหนังชีวประวัติของ แบรี่ ซีล ที่จับพลัดจับผลูต้องกลายเป็นนกสองหัว ทำงานให้กับ CIA ไปพร้อมๆ กับการขนยาเสพย์ติดและอาวุธเถื่อน ซึ่งหนังเล่าเรื่องได้กระชับและเข้าใจง่าย หนังตัดต่อได้ดี ดูแล้วไหลลื่น และที่สำคัญหนังที่เนื้อหาซีเรียสขนาดนี้ กลับไม่มีส่วนไหนของเรื่องที่ดูแล้วหนักเลย หนังจะแทรกอารมณ์ขันไว้ตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าขนาดพระเอกเข้าขั้นวิกฤตหนังยังทำให้คนดูอมยิ้มได้แบบไม่ยาก
สำหรับใครที่ดูตัวอย่างหนังแล้วคิดว่าหนังของเฮียทอมจะต้องบู๊ล้างผลาญและสลัดภาพของ Ethan Hunt แห่ง Mission Impossible ไม่หลุดเหมือนเรื่องที่ผ่านๆ มา ขอบอกว่าคุณคิดผิด เพราะหนังเรื่องนี้ ไม่มีฉากแอ็คชั่นเลยด้วยซ้ำ แถมเฮียทอมแกก็เล่นบทอื่นได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีความเป็นพระเอกนักบู๊เหลืออยู่เลย แถมเรื่องนี้ยังดูอวอั๋นผิดจากเรื่องที่ผ่านมาอีกด้วย ส่วนเรื่องฝีมือการแสดง ก็คงไม่ต้องพูดถึง ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าหนังจะดูโอเคในระดับนึง แต่ก็ยังไม่ถึงกับพีคที่สุด เพราะหนังมันจะค่อนข้างเดินเรื่องไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสุดท้าย ซึ่งการทำหนังประเภทนี้ออกมาถ้ามันไม่มีจุดหักมุมหรือถ้าไม่มีฉากที่มาฮุคคนดูให้อยู่หมัดได้ มันก็จะไม่ค่อยมีอะไรให้คนดูอินเท่าไหร่ ผมคนนึงล่ะที่ดูแล้วไม่ค่อยอินและรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้
สมาชิกหมายเลข 3409017
[Review] American Made: เหตุเกิดจากอเมริกัน…
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ต้องขอสารภาพว่าตอนที่ดูตัวอย่างหนังเรื่องนี้ในครั้งแรก มีความ “งง” ระดับหนึ่ง เพราะไม่เข้าใจว่าหนังจะเล่าเรื่องของอะไร เป็นหนังแนวไหน (จะตลก ..ก็ไม่น่า หรือจะแอ็คชั่น .. ก็ไม่ขนาดนั้นมั้ง) รู้เพียงแต่ว่าโทนหนังดูจะเป็นเชิงเล่าแบบมีสีสันและดูวินเทจพอสมควรจากเพลงประกอบที่ใช้ในตัวอย่าง และ ทอม ครูส แสดงนำ (ที่ก็เพิ่งล่มปากอ่าวมาสด ๆ ร้อน ๆ กับ The Mummy)
แต่ด้วยความที่เห็นรายชื่อผู้กำกับเป็น ดั๊ก ไลแมน ซึ่งเป็นผู้กำกับที่เคยทำหนังตลาดได้โคตรสนุกแต่กระแสเงียบเกินคาดเมื่อ 3 ปีก่อนอย่าง Edge of Tomorrow กอปรกับคะแนนวิจารณ์ของหนังและกระแสจาก Twitter ต่างเริ่มชมกันอย่างหนาหูมากขึ้น ทำให้ความอยากดูในหนังเรื่องนี้สูงขึ้นมากทีเดียว
จิกกัดความเป็น ‘อเมริกันชน’ แบบสนุกเกินคาด
ตามที่เตรียมใจก่อนหน้าเข้าโรง ว่าหนังคงไม่ใช่หนังแอ็คชั่นระเบิดลูกโตแน่นอน (ซึ่งก็ไม่ใช่จริง ๆ) ซึ่งหากจะกำหนดแนวหนังมันคือเป็น ตลก ดราม่า อาชญากรรม ผสมปนกันไปมากกว่า
โดยหนังเป็นเรื่องราวในช่วงยุคสิ้นสุดสงครามเย็นของอเมริกา เมื่อ แบร์รี่ ซีล นักบินฝีมือดีที่ถูก ซีเอไอ ดึงตัวมารับภารกิจขับเครื่องบินถ่ายภาพกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในประเทศในแทบทวีปอเมริกาใต้ แต่เมื่อทำภารกิจเรื่อยไป เขากลับพบช่องทางการหาเงินมหาศาลด้วย “ยาเสพติด” อันเป็นสินค้าที่กำลังเฟื่องฟูอย่างมากของแทบประเทศในอเมริกาใต้ในยุคนั้น จากเรื่องนี้เองทำให้เกิดความวุ่นวายตามมา ที่ลามไปถึงทั้งซีไอเอ ทำเนียบขาว และแก๊งค้ายา ที่เป็นเรื่องเป็นราวไปใหญ่โต
หนังโปรโมตตัวเองว่าเป็น Based on true story ในตอนแรกก็นึกว่าจากชีวิตของตัวละครนำหรือเปล่า แต่พอดูไปแล้วไม่น่าใช่ เพราะคิดว่าจะเป็นเหตุการณ์จริงจากการหยิบวีรกรรมจริงของทั้ง ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน, ซีไอเอ, หรือราชายาเสพติดในตำนานอย่าง พาโบล เอสโคบา มาปู้ยี่ปู้ยำโดยมีตัวละครสมมติอย่างแบร์รี่ ซีลเป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อมทุกเรื่องเข้าด้วยกันมากกว่า
ดังนั้นสำหรับคนที่อยากดูหนังเรื่องนี้ อาจจะจำเป็นต้องรู้พื้นหลังของบุคคลสำคัญในยุคสมัยนั้นเสียหน่อย ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีเรแกน และแนนซี่ ภรรยา, พาโบล เอสโคบา, จอร์จ และ จอร์จ จูเนียร์ สองพ่อลูกตระกูลบุช หรือ บิล คลินตัน ที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงผู้ว่าการรัฐอาคันซอร์ และสถานการณ์คร่าว ๆ ของอเมริกาในช่วงสิ้นสุดสงครามเย็น ก็จะอินและเข้าใจเหตุผลของการกระทำมากขึ้น
ซึ่งในจุดนี้ต้องยกเครดิตให้กับนักเขียนบทหน้าใหม่ชื่อไม่คุ้นอย่าง แกร์รี่ สปินเนลลี่ ที่สามารถหยิบเรื่องราววายป่วงของหลายบุคคลจริงมาผูกกันให้เป็นเรื่องเป็นราวได้สนุก จิกกัดและชวนติดตามขนาดนี้ เพราะหากดูจบแล้วจะได้เห็นว่าทั้งหมดนั้นหนังพยายามจิกกัดความเป็นอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเรื่องการเมือง
ตามชื่อหนัง ..เพราะเรื่องทั้งหมดเริ่มจากอเมริกาไปแส่เรื่องชาวบ้านเองแท้ ๆ
ความสามารถในการเล่าเรื่องของ ดั๊ก ไลแมน ที่ท็อปฟอร์มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ต้องขอสารภาพอีกเรื่อง ผมไม่เคยรู้สึกว่า ดั๊ก ไลแมน เป็นผู้กำกับที่เก่งกาจอะไรมากมาย มาก่อนเลย …
หนังของไลแมนไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรโดดเด่นที่ชัดเจนจนจำได้ หรือนำมาเป็นเอกลักษณ์ที่จะคิดถึงเมื่อนึกถึงเขา เขาทำหนังอย่าง The Bourne Identity (ภาคแรกของแฟรนไชส์ เจสัน บอร์น) ได้สนุก ดูเพลิน แต่ด้วยลีลาและจังหวะก็ยังดูนิ่งเกินไปสำหรับผม เพราะสุดท้ายคนก็จดจำความโครมครามและตื่นเต้นในภาค Supremacy และ Ultimatum จากฝีมือของ ‘ลุงสั่น’ พอล กรีนกราสส์ ที่มารับช่วงต่อมากกว่าอยู่ดี จนมาถึง Mr. and Mrs. Smith ก็ถือว่าเป็นหนังดูสนุก ไลแมนกำกับการแสดงของนักแสดงออกมาได้ดี(อาจเพราะทั้ง แบรด พิทท์ และ แองเจลีน่า โจลี นั้นมีเสน่ห์ล้นจอกันอยู่แล้ว) แต่ในเรื่องการดำเนินเรื่องก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี เพราะนับตั้งแต่กลางเรื่องไปจนจบ เราจะพบว่าจังหวะหนังอ่อนแรงลง ทำให้หนังมีความเอื่อยเฉื่อย ฉากแอ็คชั่นช่วงไคลแมกซ์ก็ไม่ได้สนุกเหมือนช่วงกลางเรื่อง เหมือนกับว่าไลแมนยังมีปัญหาในเรื่องการควบคุมจังหวะการเล่าเรื่องมาก ๆ
จนมาถึง Jumper นี่ยิ่งแล้วใหญ่ หนังมาพร้อมคอนเซ็ปต์น่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ปัญหาเดิมก็เกิดอีกแล้ว เพราะหลังจากที่ Jumper เริ่มเรื่องอย่างคึกคักและน่าสนใจ ไม่ถึงครึ่งเรื่องด้วยซ้ำ หนังก็อ่อนแรงเหลือเกิน กว่าจะกลับไปมีแรงก็ต้องเป็นไคลแมกซ์อีกทีไปแล้ว (แต่คงต้องโทษบทหนังด้วยที่ต้องบอกตามตรงว่า แย่)
หลังจากนั้นทำให้ไลแมนไม่ได้อยู่ในสายตา จนกระทั่ง Edge of Tomorrow ที่ตอนนั้นไม่ได้อยากดูด้วยซ้ำ แต่ได้ดูเพราะเพื่อนลากไปดู แต่พอดูแล้วความคิดต่อไลแมนก็เปลี่ยนทันที เพราะหนังสนุกมาก ชอบมากจนยกให้เป็นหนังตลาดจ๋าที่ดูสนุกที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนั้นไปเลย ปัญหาเดิมที่มีมาตลอดของไลแมนกลับหายเกลี้ยง เพราะกับ Edge of Tomorrow ไลแมนควบคุมจังหวะหนังโดยไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีตกลงไปจนถึงไคล์แมกซ์ที่จบและปิดฉากได้สวยและมีชั้นเชิง มีมุกตลกแทรกมาให้ขำ แถมยังกำกับซีนอารมณ์ดราม่าระหว่างได้ดีอีกด้วย ฉากแอ็คชั่นก็ดูสนุก กลายเป็นหนังที่ลงตัวในทุกองค์ประกอบที่หนังตลาดเรื่องหนึ่งควรจะมี
จนมาถึงงานกำกับล่าสุดใน American Made ไลแมนทำได้แบบนั้นอีกครั้ง เหมือนกับที่ทำได้กับ Edge of Tomorrow แต่ทำได้ดีกว่าเดิมอีก เพราะใน Edge of Tomorrow ยังมีฉากแอ็คชั่นเป็นตัวชูรสบ้างนอกจากเรื่องราวและตัวละคร แต่กับเรื่องล่าสุดฉากแอ็คชั่นน้อยมาก แทบไม่มี เท่ากับว่าหนังเดินด้วยตัวละคร เรื่องราว และเหตุการณ์เท่านั้น แต่ไลแมนก็ทำให้ดูสนุกตั้งแต่เริ่มจนจบได้
โดยการเล่าเรื่องใน American Made ของไลแมน เป็นการเล่าเรื่องคล้ายกับหนังอย่าง Goodfellas หรือ The Wolf of Wall Street ของปู่มาร์ตี้ มาร์ติน สกอร์เซซี่ อยู่สูง จนคิดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาเยอะ ทั้งจังหวะการเล่าเรื่องแบบกระฉับกระเฉง ผ่านเสียงบรรยาย (Voice Over) มีพลังขับเคลื่อนสูง เคล้าคลอด้วยเพลงยุค 70 และจังหวะการตัดต่อ เช่นการใช้การหยุดภาพ (Freeze-Frame) แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีพลังสูงหรือเดือดเท่าหนังของลุงมาร์ตี้ (ซึ่งเป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของลุงเท่านั้น ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ดีเท่าหรอก) แต่ก็นับว่าเป็นหนังที่ดูสนุกและพลังสูงประจำปีได้เลย
ขอบคุณรูปภาพจาก FB United International Pictures Thailand
หนังโปรดของข้าพเจ้า
American Made (2017) อเมริกัน เมด เข้าฉายแล้ววันนี้
ความชอบเดียวที่เรามีต่อหนังคือการพยายามหลีกเลี่ยงสูตรหนังชีวประวัติทั้งหลาย โดยเฉพาะสไตล์มาตรฐานของหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของชีวิตอาชญากรที่มักจะสอดแทรกดราม่ารุนแรงสลับกับการฉายภาพให้เห็นช่วงรุ่งโรจน์ใช้เงินมือเติบเพื่อตักตวงความสุข ซึ่งสำหรับ American Made นั้นเขาทำออกมาเป็นแนวคอมเมดี้ด้วยการดึงเรื่องราววุ่น ๆ ของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐอเมริกา, คอมมิวนิสต์ในอเมริกากลาง, และแก๊งค้ายาเสพติด ให้กลายเป็นความหรรษา หนังแทบไม่สนใจเล่าที่มาที่ไปหรือความเชื่อมโยงอะไรต่าง ๆ เขาแค่จับตัวละครโยนเข้าไปในสถานการณ์ป่วน ๆ และการจับพลัดจับผลูกลายมาเป็นคนส่งของจากทุกฝ่าย ซึ่งหนังก็มีตัวละครเอกที่แสดงนำโดยทอม ครูซเป็นคนแบกหนังเอาไว้นั่นเอง
ในช่วงยุค 1980’s ‘แบร์รี่ ซีล’ (Tom Cruise) เป็นนักบินที่ได้รับการทาบทามจาก ‘เชฟเฟอร์’ (Domhnall Gleeson) เจ้าหน้าที่ CIA ให้มาทำหน้าที่ขับเครื่องบินสอดแนมถ่ายรูปในอเมริกากลาง แต่จากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับการติดต่อจากแก๊งค้ายาเสพติดให้ช่วยลักลอบขนของเข้าสหรัฐฯ ผ่านเครื่องบินของเขา และไป ๆ มา ๆ เขาก็ต้องมาทำหน้าที่ขนอาวุธสงครามจาก CIA ไปส่งให้กลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่เขาก็ยังคงขนยาเสพติดกลับประเทศพร้อมขยายกิจการใหญ่โตจนร่ำรวย แล้วแบบนี้ FBI, ปปส. และกรมศุลกากรจะไม่สงสัยบ้างเลยเหรอ
อย่างที่บอกในตอนแรกว่าเราชอบการหนีความจำเจมาทำเป็นแนวคอมเมดี้ไปเลย ถ้าดูรายละเอียดน่าจะเห็นชัดว่าหนังมันค่อนข้างซีเรียส ไหนจะเรื่องการลักลอบขนยาเสพติดซึ่งคงไม่มีใครชิลล์ได้ขนาดในหนังหรอก, ภารกิจเสี่ยงตายต่าง ๆ แต่พอมันมาเล่าแบบใส่แก๊กตลกบ้าง ยิงมุกให้ขำบ้าง กลับกลายเป็นว่าหนังสามารถหนีความเป็นสูตรหนังชีวประวัติมาสร้างสไตล์เบาสมองได้เฉยเลย วิธีที่หนังถ่ายทอดออกมามันเหมาะสมกับความสับสนอลหม่านของเหตุการณ์จริง ซึ่งสำหรับเราถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ แต่ภาพรวมหนังมันไม่ได้บันเทิงขนาดนั้น
Director: Doug Liman (ผู้กำกับ Edge of Tomorrow, Jumper)
screenplay: Gary Spinelli
Genre: biography, comedy
6.5/10
เสพติดดูหนัง
Movie Review
• American Made
• อเมริกัน เมด (2017)
– ไร้การสปอยเนื้อหาสำคัญ –
จากที่ดูตัวอย่างและพบว่า ” Tom Cruise ” แสดงนำเรื่องนี้ ก็อยากดูทันที แต่ไม่ได้คาดหวังไว้เยอะมากนัก ซึ่งโดยรวมหนังสนุกเลย เรื่อยๆแต่เก็บรายลเอียดดีเยี่ยม เป็นอีกชิ้นงานที่สร้างจากเรื่องจริงที่บันเทิงมาก !
เรื่องราวของ ” แบรี่ ซีล (Tom Cruise) ” นักบินมือดีที่ผันตัวไปทำงานให้กับนักค้ายา และผันตัวมาทำงานให้ซีไอเอ ในภารกิจระหว่างประเทศสุดกล้าและบ้าบิ่นจากการฝ่าฝืนกฎเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองของแบรี่ ซีล นักธุรกิจและนักบินที่ได้รับคัดเลือกโดยซีไอเอ ที่จะดำเนินการอย่างลับๆครั้งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ จนนำเขาไปสู่ความร่ำรวยที่ตามมาด้วยความหายนะครั้งใหญ่ของชีวิตที่เขาไม่อาจตั้งรับมือมันทัน !
เราชอบการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เกาะติดชีวิตจริงของตัวละคร ” แบร์รี่ ซีล ” ที่ค่อยๆหลงระเริงไปกับความมักมาก ที่พยายามกอบโกยหนทางสู่ความมั่นคั่งให้แก่ตัวเอง โดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบเอาซะเลย ระหว่างทางเราจะรู้สึกสนุกไปกับเรื่องราวและความตลกร้ายของตัวละคร ซึ่งสนองความบันเทิงแบบหัวเราะขบขันได้ดีมากๆ ถึงแม้หนังจะไม่เน้นความแอ็คชั่นบู๊ระห่ำเหมือนหนังเรื่องอื่นๆที่ผ่านมาของ Tom Cruise ก็ตาม แต่หนังเติมเต็มความสนุกโดยการเก็บรายละเอียดเรื่องราวชีวิตและใส่ความเจ้าเล่ห์ของตัวละครเข้ามาเติมเต็มความบันเทิงให้ผู้ชม ซึ่งทำให้คาแรคเตอร์ ภาพจดจำของ Tom Cruise แบบเดิมๆได้หายไปหมด ทำให้เราเชื่อถึงการแสดงของเขาในบทบาทของ ” แบร์รี่ ซีล ” จริงๆว่าเขาคือคนนี้จริงๆ
หนังมีความธีมยุคปลาย 70 ที่ใช้โลเกชั่นได้สวยสดงดงามมาก มีเสน่ห์ และดูเพลินมาก ยิ่งเป็นพวกซีนที่เหินเวหา จะได้เห็นโลเกชั่นในวงกว้างที่โคตรสวยเลย และเป็นซีนที่ดูเป็นผจญภัยมากๆ สนุกดีนะ
หนังได้สร้างจากเรื่องจริง แต่นำเสนอในแบบความตลกร้ายและความบ้าคลั่งของคน ที่ทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ที่ชวนคนดูดูแล้วไม่กดดันและตึงเครียดจนเกินไป ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆเลย รู้สึกสนุกตลอดทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้นะ สำหรับเรา เพราะถึงแม้จะไม่แอ็คชั่นใหญ่โต หัวเราะลั่นโรงแบบหรรษาเต็มฟีล แต่เราก็สนุกไปกับเนื้อเรื่องที่หนังพาไปได้ตลอดเวลา มีอะไรให้ฉุดคิดตามได้ดี
เราชอบการแสดงของ Tom Cruise เรื่องมาก สลัดคาแรคเตอร์ บทบาทหนังเรื่องอื่นๆได้อย่างหมดจด และจดจำคาแรคเตอร์แบร์รี่ ซีล ที่เขารับเล่นนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยม มีความโคตรเจ้าเล่ห์และมาดกวนซะเหลือเกินแหละ ชอบมาก เฮียแกเล่นดีมากจริงๆเรื่องนี้ ชื่นชมเลยย
สรุปแล้วเป็นหนังที่บันเทิงนะ ดูสนุกและหัวเราขบขันกับความเจ้าเล่ห์ของ Tom Cruise อีกทั้งงานภาพที่ถ่ายทำให้เห็นถึงความเป็นกึ่งสารคดี ดูมีความสมจริงเพิ่มมากขึ้นด้วย ไปดูกันได้ วันนี้ในโรงภาพยนตร์ฮะ
Score : 8/10
Admin Minho
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Jack Reacher (2012) แจ็ค รีชเชอร์ ยอดคนสืบระห่ำ
Jack Reacher Never Go Back 2 (2016) ยอดคนสืบระห่ำ 2