ดูหนังออนไลน์ใหม่2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนัง 2023 HDฟรี
8xbet212

Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง

1 คะแนน

ตัวอย่าง

Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง

เรื่องย่อ

Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง ในสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เกิดสงครามจนทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องถูกเกณฑ์ไปรบ “พี่มาก” จำต้องทิ้งเมียของเขาที่กำลังท้องแก่ไว้ที่บ้านเพื่อเข้าร่วมศึก ระหว่างสงคราม มากได้พบและช่วยชีวิตเพื่อนทหารเกณฑ์สี่คนคือ เต๋อ เผือก ชิน และเอ จนท้ายที่สุดทั้งห้าก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อสงครามยุติ มากจึงชวนให้ทั้งสี่ไปเยี่ยมบ้านของเขาที่พระโขนง

เมื่อถึงพระโขนง มากแนะนำให้ เต๋อ เผือก ชิน และเอ รู้จักกับ “นางนาก” เมียสาวแสนสวยของเขา และยังมี “แดง” ลูกชายวัยแรกเกิดของมากด้วย เต๋อ เผือก ชิน และเอ ตัดสินใจอยู่ที่พระโขนงสักระยะโดยอาศัยที่บ้านหลังเก่าฝั่งตรงข้ามบ้านมาก ขณะนั้นมีข่าวลือหนาหูในหมู่ชาวบ้านว่านากเป็นผีตายทั้งกลม!! โดยต้นตอมาจากยายเปรียกเจ้าของร้านยาดองปั่น ทั้งสี่ไม่เชื่อ จึงพยายามพิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ ต่อมายายเปรียกผู้ปล่อยข่าวลือเกิดจมน้ำตายลอยขึ้นอืดอย่างน่าสยดสยอง ทำให้เต๋อ เผือก ชิน และเอ ปักใจเชื่อว่านากเป็นผีแน่ๆ ทั้งสี่ไม่กล้าบอกมากตรงๆ เนื่องจากกลัวจะต้องพบจุดจบแบบเดียวกับยายเปรียก แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณที่มากเคยช่วยชีวิต พวกเขาจึงต้องตัดสินใจบอกความจริงให้มากรู้ “เพราะคนกับผีอยู่ร่วมกันไม่ได้”

ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคประวัติศาสตร์ของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ โดยติดตามหมาก รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ ซึ่งกลับมาบ้านหลังจากสู้รบในสงคราม การกลับมาพบกับนาคภรรยาของเขาซึ่งแสดงโดย ดาวิกา โฮร์เน่ และได้พบกับเพื่อนสนิทของเขา ปวก (พงศธร จงวิลักษณ์) และ เอ๋ (ณัฐพงศ์ ชาติพงศ์) หมากลืมความจริงที่ว่าเขาและปวกเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็นผีของนาคได้ ในขณะที่เพื่อนๆ เผชิญความท้าทายสุดตลกในการปกปิดตัวตนที่เหนือธรรมชาติของนาค ภาพยนตร์เรื่องนี้สานต่อเรื่องราวความรัก มิตรภาพ และอารมณ์ขันอันน่าสยดสยอง

Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง แปลงโฉมเรื่องผีไทยดั้งเดิมให้กลายเป็นประสบการณ์ตลกสุดฮาและอบอุ่นใจ ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ความสามารถในการผสานองค์ประกอบสยองขวัญเข้ากับความตลกขบขันได้อย่างแนบเนียน ทำให้เกิดเรื่องราวที่น่าติดตามซึ่งทำให้ผู้ชมหัวเราะจนแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้

อารมณ์ขันที่ไม่ซ้ำใคร: ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนออารมณ์ขันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมักมาจากสถานการณ์ที่ไร้สาระและความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการที่หมากหลงลืมธรรมชาติที่น่ากลัวของภรรยาของเขา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร โดยเฉพาะหมากและนาค มีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์โดยรวมและความตลกขบขันของภาพยนตร์เรื่องนี้

องค์ประกอบที่โรแมนติก: ท่ามกลางฉากตลกสุดสยองและโมเมนต์ตลก “พี่หมาก” ผสมผสานเรื่องราวโรแมนติกสุดซึ้ง ความรักอันยั่งยืนของหมากและนักกลายเป็นประเด็นหลัก เพิ่มความลึกซึ้งทางอารมณ์ให้กับภาพยนตร์และโดนใจผู้ชมในระดับซาบซึ้ง

ผลงานที่แข็งแกร่ง: นักแสดงนำโดยมาริโอ้ เมาเรอร์และดาวิกา โฮร์นแสดงได้อย่างแข็งแกร่งซึ่งมีส่วนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ การแสดงของเมาเรอร์เกี่ยวกับมักที่ไร้เดียงสาและไม่สงสัย ควบคู่ไปกับการแสดงตนที่มีเสน่ห์และน่ากลัวของโฮร์นในฐานะแนค ทำให้เกิดเคมีที่มีชีวิตชีวาและสนุกสนานบนหน้าจอ

บทสรุป: Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นในวงการภาพยนตร์ไทย โดยประสบความสำเร็จในการผสมผสานความสยองขวัญ ตลก และโรแมนติก ให้เป็นภาพยนตร์ที่น่าติดตามและสนุกสนาน ด้วยแนวทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับประเภทผี การแสดงที่เข้มข้น และเสียงสะท้อนทางวัฒนธรรม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างผลกระทบต่อผู้ชมอย่างยั่งยืน และทำให้กลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่ได้รับความนิยมในภาพยนตร์ไทย สำหรับผู้ที่มองหาหนังตลกเหนือธรรมชาติที่มีหัวใจและอารมณ์ขัน “พี่หมาก” มอบประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ที่ไม่อาจลืมเลือน

ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังไทย เรื่อง Pee Mak (2013) พี่มาก..พระโขนง หนังประเภท Comedy ตลก เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง ดูหนัง ออนไลน์ หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2024 ดูหนังบนมือถือ Android iOS

ผู้กำกับ

บรรจง ปิสัญธนะกูล

บริษัท ค่ายหนัง

จอกว้าง ฟิล์ม

นักแสดง

  • มาริโอ้ เมาเร่อ
  • ดาวิกา โฮร์เน่
  • พงศธร จงวิลาส
  • ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์
  • อัฒรุต คงราศรี
  • กันตพัฒน์ สีดา

โปสเตอร์หนัง

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Pee Mak (2013)

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Pee Mak (2013)

KUBHD ดูหนังออนไลน์ Pee Mak (2013)

รีวิวหนัง

หนังโปรดของข้าพเจ้า

พี่มาก..พระโขนง (28 มีนาคม พ.ศ. 2556)

ประเภทหนัง : Romantic, Comedy

ผู้กำกับ : บรรจง ปิสัญธนะกูล

เขียนบท : นนตรา คุ้งวงษ์, บรรจง ปิสัญธนะกูล, ฉันทวิชช์ ธนะเสวี

ขอเกริ่นนำก่อนนะครับว่า รสนิยมการดูหนังเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ซึ่งในมุมมองผมเนี่ยมองว่าบางอย่างมันคือรสนิยมที่ดีแต่ดีแตกต่างกันออกไป ในขณะที่ความชอบในบางอย่างมันเป็นรสนิยมที่แย่มาก และการที่คนดูหนังไม่ยกระดับตัวเองขึ้นมามันก็ทำให้ผู้ผลิตหนังยังคงป้อนหนังห่วย ๆ ที่ขายได้ออกมาเรื่อย ๆ ตามหลักทุนนิยมซึ่งมันจะบั่นทอนกำลังใจคนอยากผลิตงานดี ๆ แต่ไร้ซึ่งคนสนับสนุน

พี่มาก…พระโขนงก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ผมบอกเลยว่าทำให้ผมอึ้งว่าคุณภาพของหนังไม่ได้สมกับรายรับที่ได้ไปแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

ตอนแรกผมตัดสินใจว่าจะไม่รีวิวหนังไทยเรื่องนี้เพราะมันดูจะเป็นรสนิยมส่วนตัวและแฟนคลับ GTH ก็ค่อนข้างแรง ๆ ทั้งนั้น แถมโดยส่วนมากคนดูหนังค่ายนี้ก็ไม่ใช่คอหนังแต่เป็นประเภทขาจรหรือบางคนปีหนึ่งจะเข้าโรงหนังสักครั้งก็มี ซึ่งมันคือผลจากการตลาด ไม่ใช่ผลจากคุณภาพของหนัง

ความคาดหวังก่อนดูของผมก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แค่เห็นมีแต่คนบอกว่าสนุก สนุก สนุก ตลก ตลกมาก ดูหลายรอบแล้ว ชื่อผู้กำกับก็พอไหว ชัตเตอร์ + กวนมึนโฮ ขอแค่ได้ดูหนังตลก ๆ เหมือนกวนมึนโฮไม่ต้องโรแมนติกอะไรมากเพราะนี่คือการดัดแปลงความรักสุดคลาสสิกของไทยมายำเป็นหนังคอเมดี้ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าหนังที่เขาบอกว่าสนุก ตลกจะทำให้ผิดหวังแบบร้ายแรงมาก ๆ (ผมดูกวนมึนโฮก็สนุกและตลก ดูไป 2-3 รอบด้วย)

ก่อนจะจัดชุดใหญ่ให้พี่มาก ผมขอชมไอเดียการนำแม่นาคพระโขนงมาดัดแปลงใหม่เป็นแนวคอเมดี้ ซึ่งไอเดียถือว่าน่าสนใจ แต่ทำออกมาไม่ได้เรื่องและไม่น่าจะนับตัวเองเป็นหนังด้วยซ้ำ ซึ่งผมขอเรียก “พี่มาก…พระโขนง” ว่าเป็นตลกคาเฟ่ฉายโรง บทหนังแบนราบ มุ่งขายแต่ความตลก และแต่ละมุกก็ไม่ได้สดใหม่ เดาง่าย เล่นช้า ชงช้าตบช้าแถมพอตบเสร็จยังไม่ขำ (ผมก็ไม่ได้เส้นลึกอะไร แต่ผมจะไม่ค่อยตลกกับพวกมุกแบบ “ตัดผมแบบนี้กูยอมตาย” หรือประเภทมุกตบหัว ถีบ อะไรแบบนี้)

ความย่ำแย่ประการแรกสำหรับผมคือ ความตลก จุดขายหลักของหนังคือขายตลกคาเฟ่เต็มที่ เนื้อเรื่อง 80% เดินเรื่องโดย 4 สหาย (บทในเรื่องคือ เอ-เต๋อ-ชิน-เผือก) ที่ออกมาตั้งใจเล่นแต่มุกตลกที่ช่วยให้หนังเดินหน้าเพียงเล็กน้อย และการแท็กทีมของ 4 คนนี้แม้จะเข้าขากันลงตัวแต่มุกเกือบทุกมุกในหนังมัน “เดาได้ง่ายมาก” คือผมดูแล้วสามารถเดาได้ทันทีเลยว่าฉากต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ตัวละครจะตบมุกยังไง ผู้กำกับจะถ่ายฉากต่อไปยังไง และหลายมุกในหนังมันทำให้รู้สึกว่า “ตลกยังไงวะ” (บางฉากก็พอเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ อารมณ์ว่ายิงมาร้อยมุกมันต้องโดนบ้างสักมุกแหละ)

จุดต่อมาคือบทหนังแบนราบบางสนิท หนังเล่นอยู่กับการพิสูจน์ว่าแม่นาคเป็นผีเกือบทั้งเรื่องโดยใช้มุกตลกที่ประเคนเข้ามาเป็นตัวพาหนังไปข้างหน้า โดยที่ 3 คนเขียนบทพยายามจะแทรกสไตล์การเฉลยบทแบบเก๋ ๆ แต่มันไม่พอที่จะดึงหนังขึ้นจากหลุมได้ และยิ่งการที่หนังหนักไปทางคอเมดี้จนทำให้มันไม่เหลือพื้นที่พอจะสร้างอารมณ์หนังรักโรแมนติก พอมีฉากที่พยายามโรแมนติกมันเลย “ไม่ถึง” และกลายเป็นอะไรที่ถูกใส่มาผิดที่ผิดทางไปเลย

จากความผิดหวังในพี่มาก…พระโขนงก็คงทำให้ผมเข็ดขยาดหนังจากค่ายนี้ไปสักพักเลยทีเดียว (โดนสองคอมโบติด หลังจาก ATM เออรักเออเร่อ) และยิ่งตอกย้ำว่ารายได้หนังในไทยไม่สามารถชี้วัดคุณภาพได้เลย นอกเสียจากเป็นการบอกมันประสบความสำเร็จในแง่การตลาด

ป.ล. ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนส่วนน้อยแน่ ๆ หลายต่อหลายคนก็สนุกไปกับพี่มาก ซึ่งถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนส่วนใหญ่ก็ลองไปดูกันนะครับ

ป.ล. 2 สามคะแนนมอบให้แก่ความแบ๊วของมาริโอ้ ความสวยของใหม่ดาวิกา และไอเดียหนัง

3/10

Me Review – มีรีวิว

พี่มาก…พระโขนง : หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังผี แต่เป็นหนังตลกที่มีผีอยู่ในเรื่อง มุกที่ใช้หลายมุกเป็นมุกที่แบบ…ต้องบอกว่า มันกล้าเล่น =_=’ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้จริงๆ
จริงๆสังเกตตั้งแต่ตอน LOGO GTH แล้ว ปกติถ้าเป็นพื้นดำ โลโก้สีขาว จะเป็นหนังสยองขวัญ แต่เรื่องนี้ พื้นขาวตัวหนังสือดำ คาดได้ว่าต้องฮากว่าน่ากลัวแหงๆ
แต่จากที่ดู ไม่มีความน่ากลัวใดๆเลย =_=’ ออกจะตลกเรี่ยราดมากกว่า โดยรวมยังชอบความรั่วบวกหลอนของคนกลาง(4แพร่ง)มากสุดในบรรดาทีมผกก.และนักแสดงชุดนี้ แต่ในภาพของความเป็นหนังเรื่องเดียว ถือว่าหนังเรื่องนี้มีการวางแผนมาดี และมุกที่ใช้หลายมุก เรียกได้ว่าต่อยอดจากมุกเดิม หรือมีการผูกเรื่องเพื่อมายิงมุกทีหลังได้แจ่มมาก
โดยรวมแล้วไม่ควรพลาดครับ แต่อย่าคาดหวังมากจนเกินไปเท่านั้นเอง 😃

หนังฝังมุก

รีวิวหนัง พี่มาก พระโขนง (2556) ถือเป็นหนังในตำนานอีกเรื่องที่สร้างปรากฏการณ์ให้แก่วงการหนังไทย เมื่อ GTH/GDH หยิบเอาตำนานแม่นาคมาเล่าแบบตีความใหม่ เติมสีสันยำซะจนมันมือและเล่าในมุมมองของพี่มาก ซึ่งยืนยันความสำเร็จด้วยรายได้กว่า 1,000 ล้านบาททั่วประเทศ

เนื่องจากเป็นหนังผีคลาสสิค คนไทยรู้จักตำนานผีแม่นาคดีอยู่แล้ว ตัวหนังจึงหยิบเอาประเด็นสำคัญที่เรารู้จักเกี่ยวกับแม่นาคในอดีตมาใส่ไว้อย่างครบถ้วน อย่างฉากแม่นาคอุ้มลูกยืนคอยท่าน้ำ หรือฉากยื่นมือเก็บมะนาว

แต่จะเพิ่มสีสันใหม่ ๆ ที่เรายังไม่รู้ในมุมมองของพี่มาก เหตุการณ์ช่วงสงคราม เพื่อนของพี่มาก ฉากต่าง ๆ และบทพูดเป็นภาษาปัจจุบันที่ค่อนข้างขัดแย้งกับเสื้อผ้าหน้าผม ซึ่งทุกอย่างมันไปด้วยกันไม่ได้เลยในแง่ของประวัติศาสตร์ แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับยอดเยี่ยม โดยหนึ่งในคนที่ร่วมเขียนบทหนังก็คือ เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี พระเอกจากเรื่อง กวน มึน โฮ

ถือว่าหนังกล้ามากที่ทำแนวย้อนยุค แต่จงใจไม่ให้เนื้อเรื่องย้อนยุคไปกับหนัง ซึ่งหนังจะไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ถ้าขาดตัวละครเพื่อนพี่มากอย่าง เต๋อ เผือก ชิน และ เอ ที่ประเคนมุกตลกใส่มาได้อย่างไม่ยั้ง และถูกจังหวะจะโคน หลายฉากเรียกได้ว่าฮาแบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

พี่มาก…พระโขนง ถือว่าจัดเต็มความฮามาอย่างจุใจ แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังผี ซึ่งในด้านความน่ากลัวนั้น ตัวหนังพยายามหลอกล่อผู้ชมให้ระแวงโดยการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ประกอบกับดนตรีที่ใส่มาอย่างมีชั้นเชิงช่วยเสริมความหลอนของแม่นาคได้เป็นอย่างดี

และแม้ว่านี่จะเป็นหนังรีเมคตำนานแม่นาคพระโขนงอีกเรื่อง แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากเวอร์ชั่นก่อน ๆ คือการสร้างโลกเสมือนหลงยุคขึ้นมาให้หนังไม่ต้องยึดติดกับขนบเดิม ๆ ของแม่นาค เพิ่มมุกตลก และมุมมองใหม่ในเรื่องความรักของพี่มากและแม่นาค ทำให้หนังมีความน่าสนใจมากกว่าจะเดินตามรอยเดิม แถมยังได้ความรู้สึกฟีลกู้ดกลับมาอีกด้วย

ซึ่งตอนนี้เราสามารถดูหนังไทยคุณภาพอีกหลาย ๆ เรื่องได้แล้ว ผ่านทาง Netflix คอหนังไทยดูกันไปให้ตาแฉะไปเลย!!

คนมองหนัง

(มีสปอยล์นะครับ ถ้าใครยังไม่ได้ดู ก็แชร์เก็บไว้ก่อน แล้วค่อยมาอ่านทีหลังก็ได้ 555)

ขอเขียนถึง “พี่มากพระโขนง” บ้างครับ หลังจากได้อ่านรีวิวของ อ.เกษียร ซึ่งแกตั้งข้อสังเกตไว้เฉียบคมมากๆ และผมรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่ง ก่อนหน้ากลับเมืองไทย เมื่อราวสองสัปดาห์ก่อนผมนั่งรถไฟไปเที่ยวที่ Warwick เนื่องจากวันที่ไปถึงนั้นมีฝนตกตลอดเวลา ผมจึงหมกตัวอยู่แถวๆ ปราสาท Warwick ในปราสาทดังกล่าว มีพื้นที่จัดแสดงส่วนหนึ่งที่ทำเป็น “บ้าน/ปราสาทผีสิง” เอาไว้ด้วย ซึ่งเป้าหมายหลักส่วนใหญ่ของโชว์นี้ก็ดูเหมือนจะเป็นพวกเด็กๆ

ขณะยืนต่อคิวอยู่หน้าพื้นที่จัดแสดง ก็มีเด็กผู้หญิงญี่ปุ่น 2-3 กลุ่มย่อยๆ ยืนต่อคิวเข้าปราสาทผีสิงก่อนหน้าผม (จริงๆ ผมเดาว่า พวกเธออาจเป็นเด็กนักเรียนกลุ่มเดียวกันที่มาเรียนซัมเมอร์ที่นี่ แต่เพราะโชว์บ้านผีสิง จะจำกัดผู้ชมให้เข้าไปได้ครั้งละประมาณ 10-15 คน เด็กญี่ปุ่นเหล่านี้เลยต้องถูกซอยออกเป็นกลุ่มย่อยๆ โดยมีครูชาวอังกฤษคอยเทคแคร์นักเรียนแต่ละกลุ่ม)

พวกเธอมีอาการร่าเริงเป็นอย่างยิ่งก่อนเข้าไปในตัวปราสาทผีสิง เท่าที่สังเกตจากกริยาเล่นหัวหยอกล้อหัวร่อในหมู่พวกเดียวกันเอง และกับนักแสดงตลกหน้าประตูปราสาทอย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากพวกเธอเข้าไปในตัวปราสาทแล้ว ในแต่ละกลุ่มย่อยจะต้องมีเด็กมีอาการช็อกร้องไห้โฮออกมาก่อนชมการแสดงจบ กลุ่มละอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ

เมื่อถึงรอบผม ผมก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรมากน่ะนะ แล้วคนในกลุ่มผม (ซึ่งเป็นฝรั่ง -ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่- เสียส่วนใหญ่ และดูเหมือนจะมีสาวๆ ฟิลิปปินส์ที่มากับผู้ชายฝรั่งคนหนึ่งอีก 2-3 คน) ก็ไม่มีใครมีอาการช็อกตกใจต้องขอออกจากปราสาทผีสิงดังกล่าวกลางคัน

ตามความเห็นของผม เด็กผู้หญิงญี่ปุ่น 2-3 คนที่มีอาการช็อกออกมาจากปราสาทผีสิงกลางคัน น่าจะมีอาการเหมือน culture shock คือ ด้านหนึ่ง ไอ้ “ผีหลอก” ในปราสาทที่ Warwick นี่ มันคงไปกระตุกต่อมกลัวต่อมตกใจของพวกเธอพอดี โดยเป็น “ความกลัว” ในแบบที่พวกเธอไม่คุ้นเคย และรับมือคาดการณ์ไม่ทัน อีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ พวกเธอเป็นคนญี่ปุ่นยกแก๊งที่เดินเข้าไปในปราสาทผีสิงอังกฤษ (โดยมีครูพี่เลี้ยงชาวอังกฤษตามประกบหนึ่งคน) เพราะฉะนั้น ทั้งหมดดูจะมีความเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ทางวัฒนธรรมร่วมกันอยู่ แต่อยู่ดีๆ พอเดินเข้าไปในตัวปราสาท ก็มี “ผีอังกฤษ” โผล่มาหลอกหลอน กระตุกขวัญ ป่วนปั่นให้จิตใจ อารมณ์ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวดังกล่าวแตกกระเจิง กระทั่งพวกเธอบางคน ไม่สามารถตั้งรับกับภาวะแตกกระเจิงแบบนั้นได้ทันท่วงที

ทั้งหมดนี้ อาจถือเป็นการหลอกหลอนของ “ผี” ที่ถูกวางอยู่บนพื้นฐานเรื่อง “ความแตกต่าง” (ทางวัฒนธรรม) สอง ก่อนหน้าจะดูหนังเรื่อง “พี่มากพระโขนง” ไม่นาน ผมมีโอกาสได้อ่านบทความภาษาอังกฤษสั้นๆ ของ “ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช” ที่เขียนถึง “ผี” ในหนังของ “อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล”

ฤกษ์ฤทธิ์อ้างอิงถึงประสบการณ์ของตนเองที่เติบโตมากับละครโทรทัศน์ยุค 1970 เขาเชื่อมโยงข่าว-สารคดีปลุกใจต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลฝ่ายขวา/ทหารในโทรทัศน์ยุคนั้น เข้ากับละครทีวีหลังข่าว ซึ่งมักจะเป็น “เรื่องผี”

“ผี” (และ/หรือคอมมิวนิสต์) ที่ฤกษ์ฤทธิ์เติบโตมาด้วย จึงหลอกหลอนผู้คนให้ตกอยู่ในความกลัว บนพื้นฐานเรื่อง “ความแตกต่าง” นอกจากนั้น “ผี” ยังเป็นกลไกของชนชั้นปกครองในการครอบงำให้คนตกอยู่ภายใต้อำนาจ (สื่อ) ที่ใช้สร้างความกลัวดังกล่าว และเป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ให้สามัญชนเชื่อฟัง/ยอมรับอำนาจแห่งความเหลื่อมล้ำ/ความไม่เท่าเทียมในสังคม (“ผี” จึงมีหน้าที่คล้ายๆ ความเชื่อเรื่อง “กรรม” แม้ฤกษ์ฤทธิ์จะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องหลังไว้ในบทความของเขาก็ตาม)

แต่ “ผี” ในหนังของอภิชาติพงศ์กลับมีความแตกต่างออกไปตามมุมมองของฤกษ์ฤทธิ์ กล่าวคือ “ผี” ของอภิชาติพงศ์ไม่ได้หลอกคนผ่านสถานะอัน “แตกต่าง” ของตนเอง แต่ “ผี” ดังกล่าวกลับบ่งชี้ให้เห็นถึงสภาวะที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันกับ “ความแตกต่าง” ของผีได้อย่างปกติ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว

“ผี” จึงยังคงดำรงอยู่ในจอโทรทัศน์/ภาพยนตร์และสังคมไทย แต่ผู้คนไม่ได้กลัว “ผี” ที่ “แตกต่าง” จากตนเอง รวมทั้งเป็นกลไกอำนาจของชนชั้นปกครองอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับ “ความแตกต่าง” ดังกล่าวได้อย่างปกติและด้วยความเข้าใจ

คิดต่อจากบทความของฤกษ์ฤทธิ์ “ผี” ประเภทหลังนี้มิได้ดำรงอยู่แต่เพียงในหนังอิสระรางวัลปาล์มทองคำของอภิชาติพงศ์เท่านั้น หากมันยังดำรงอยู่ในหนังร้อยล้าน (อาจถึงสองร้อยล้านหรือมากกว่านั้น) เรื่องล่าสุดอย่าง “พี่มากพระโขนง” อีกด้วย

สาม มาถึง “พี่มากพระโขนง” ผมคิดว่า มันน่าสนใจไม่น้อย หากนำ “พี่มากฯ” ไปเปรียบเทียบกับ “นางนาก” ผลงานการกำกับของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” เมื่อปี พ.ศ.2542
เนื่องจาก “พี่มากฯ” อ้างอิงตนเอง (รวมถึงยั่วล้อ) เข้ากับโครงเรื่องและเกร็ดเรื่องราวหลายอย่างของ “นางนาก” อย่างชัดเจน ไม่นับว่าผู้อำนวยการผลิตของ “นางนาก” อย่าง “วิสูตร พูลวรลักษณ์” ก็ยังมารับหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการผลิตของ “พี่มากฯ” (กระทั่ง “ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์” ที่เริ่มโด่งดังในฐานะคนทำดนตรีประกอบภาพยนตร์มือวางอันดับต้นๆ ของเมืองไทยจาก “นางนาก” ก็ยังคงเป็นหนึ่งในคนทำดนตรีประกอบให้ “พี่มากฯ” เช่นกัน)

ถ้า “นางนาก” เป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของวงการหนังไทยหลังยุควิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่พยายามเผชิญหน้า/วิพากษ์วิกฤตที่เกิดขึ้น (จาก “ภัยภายนอก” เช่น ไอเอ็มเอฟ หรือ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ของฝรั่ง ตามความเข้าใจทั่วๆ ไป) ด้วยอารมณ์ความรู้สึก “โหยหาอดีต” “หวนหารากเหง้าความเป็นไทยดั้งเดิม” (ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในโลกภาพยนตร์)
“พี่มากพระโขนง” ก็อาจเป็นหนึ่งในหนังไทยร่วมสมัยที่พยายามพูดถึงวิกฤตการเมืองนับแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา และยังดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงช่วงกลางทศวรรษ 2550 หากแต่หนังเรื่องนี้มิได้วิพากษ์วิกฤตอันเกิดขึ้นจาก “ความขัดแย้งภายใน” ด้วยท่าทีของการกลับไปแสวงหาหรือรื้อฟื้นรากเหง้าอันดีงามในอดีต ทว่ากลับพยายามยั่วล้อ/กลับหัวกลับหางท่าทีดังกล่าวที่ถูกสร้างขึ้นโดยนางนาก (และหนังไทยเรื่องอื่นๆ ที่อยู่ร่วมสมัยกับนางนาก) และพยายามนำพาตัวเองให้หลุดพ้นไปจากกับดักดังกล่าว

ถ้าคนทำหนังไทยเชิงพาณิชย์ถือเป็น “ชนชั้นกลางวัฒนธรรม” (ตามความเห็นของ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล”) อันเป็นกลุ่มคนที่ยึดกุมอำนาจนำในพื้นที่ “สื่อ” และมีความสำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม-การเมือง แต่คนกลุ่มนี้ในสังคมไทยกลับไม่ค่อยเลือกอยู่ข้างฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม-การเมืองไทยร่วมสมัยมากนัก

การเกิดขึ้นและการประสบความสำเร็จของ “พี่มากฯ” อาจบ่งชี้ถึง “ชนชั้นกลางวัฒนธรรมไทย” ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-การเมืองที่เคลื่อนตัวไปอย่างมหาศาลในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา แต่แน่นอนว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นย่อมเป็นผลมาจากการที่คนกลุ่มนี้ต้องเผชิญหน้ากับ “ปัญหา” ที่วางอยู่บนพื้นฐานและอยู่ในบริบท/ช่วงเวลาที่แตกต่างกันด้วย

(จริงๆ เวลาพูดถึง “ชนชั้นกลางวัฒนธรรมไทย” ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ เราคงต้องยอมรับว่า คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีความเป็นหนึ่งเดียว เช่น นนทรีย์ กับ “บรรจง ปิสัญธนะกูล” ก็เป็นคนทำหนังต่างรุ่นกัน ขณะเดียวกันคนรุ่นเดียวกันอย่างนนทรีย์ “เป็นเอก รัตนเรือง” และ “วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง” ก็มีท่าทีต่อปัญหาการเมืองไทยร่วมสมัยแตกต่างกันไป)

สี่ พิจารณาในเชิงรายละเอียด “นางนาก” ฉบับนนทรีย์ พยายามสถาปนา “ความจริงทางประวัติศาสตร์” ขึ้นมาให้กับตำนาน “แม่นาคพระโขนง” ผ่านการใส่บริบทจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ เช่น ศึกเชียงตุง หรือบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ทางประวัติศาสตร์ อย่าง “สมเด็จโต” ลงไปในหนัง ผนวกด้วยการสร้างบรรยากาศของ “ความสมจริงทางประวัติศาสตร์” ตามโลกทัศน์ของ “ชนชั้นกลางวัฒนธรรม” ยุคนั้น ผ่านการออกแบบงานสร้าง ตลอดจนการประพันธ์/เรียบเรียงดนตรีประกอบให้กับหนัง

ถ้าจำไม่ผิด “อ.ทรงยศ แววหงษ์” ถึงกับเคยเขียนบทความทำนองว่าหนัง “นางนาก” ของนนทรีย์ ได้ทำให้ความเป็นตำนานของ “แม่นาคพระโขนง” สิ้นสุดลงไป
ขณะเดียวกัน บทบาทสำคัญของตัวละคร “สมเด็จโต” ในหนังของนนทรีย์ ก็ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทอำนาจของพุทธศาสนากระแสหลัก ในการแบ่งแยกชี้นำว่ามนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ “ความแตกต่าง” อย่าง “ผีนางนาก” ได้

อย่างไรก็ตาม การย้อนกลับไปหา “รากเหง้าทางประวัติศาสตร์” อันทรงพลังและงดงามในแบบ “นางนาก” ก็ถูกกร่อนเซาะลงโดยการมาถึงของหนังตลก “พี่มากพระโขนง”
ห้า “พี่มากฯ” ทำลายองค์ประกอบอะไรของ “นางนาก” ลงบ้าง?

ประการแรก “พี่มากฯ” ทำลายองค์ประกอบ “ความสมจริงทางประวัติศาสตร์” ลงไปอย่างสิ้นซากย่อยยับ มีงานโปรดักชั่นดีไซน์และมุขตลกที่ผิดยุคผิดสมัยดำรงอยู่ทั่วไปและอย่างจงใจในหนังเรื่องนี้ (ขณะที่ตัวสกอร์ประกอบหนังเอง แม้ชาติชาย คนทำสกอร์ “นางนาก” จะมาร่วมงานกับ “หัวลำโพง ริดดิม” ในการทำสกอร์ “พี่มากฯ” แต่กลิ่นอายแบบเพลงไทยเดิมหรือเพลงกล่อมลูกพื้นถิ่น ก็ไม่ได้ถูกขับเน้นออกมาให้โดดเด่นเหมือนเดิม) สงครามที่มากและสี่สหายไปร่วมรบ ไม่ได้ถูกระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นศึกอะไร อยู่ในปีไหน ไม่มี “สมเด็จโต” ในหนังเรื่องนี้ มีแต่พระตลกๆ ที่พบได้ในหนังตลกไทยทั่วไป

ที่เด็ดขาดที่สุด ก็คือ ไดอะล็อกช่วงต้นของหนัง ที่เล่นงานซะ บทพูดแบบ “โบราณประดิษฐ์” ซึ่งแพร่หลายในหนังไทยมาตั้งแต่ยุค “นางนาก” “บางระจัน” เรื่อยมาจนถึง “สุริโยไท” หรือ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” แทบจะหมดความชอบธรรมหรือมนต์ขลังในเชิงภาพยนตร์ไปอย่างสิ้นเชิง (เข้าใจว่า อ.เกษียร น่าจะชอบซีนนี้เป็นพิเศษ ส่วนผมนี่ตอนดูฉากนี้ถึงกับตบเข่าฉาดใหญ่เอาเลย)

ประการต่อมา หาก “นางนาก” เป็นการพยายามหันมาเพ่งมองพินิจพิเคราะห์ภูมิปัญญาหรือรากฐานทางประวัติศาสตร์ของ “ปัจจัยภายใน” ในยามที่สังคมไทยช่วงปี 2540 เผชิญกับภัยเศรษฐกิจ (ที่ถูกเข้าใจว่าเกิดจาก) จาก “ปัจจัยภายนอก” “พี่มากฯ” กลับไม่ได้ปฏิเสธ “ปัจจัยภายนอก” ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ลุ่มหลง “ปัจจัยภายใน” อย่างเกินเลย

ตัวละครพี่มากหรือมาร์คในหนัง มีหน้าตาเป็นฝรั่ง เพราะเป็นลูกของมิชชันนารีอเมริกัน และเขาก็สามารถดำรงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างไม่มีปัญหา (หนังที่พูดถึงประเด็น “มิชชันนารี” ในยุครัชกาลที่ 5 ได้อย่างสนุกและชวบขบคิดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ “สาบเสือที่ลำน้ำกษัตริย์” ของ “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล” ผู้ล่วงลับ) ส่วน “ความเป็นชาติ” ของสยาม/ไทย ก็ถูกตั้งคำถามผ่านมุขตลก ทหารสยามที่ได้รับการปลุกใจสไตล์ชาวบ้านบางระจัน จนควงดาบด้วยท่าทีหาญกล้าออกไปสู้รบกับอริราชศัตรู (ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะหนังไม่ได้ฉายภาพให้เห็น) ก่อนจะพบว่าข้าศึกแม่งมือปืน ส่วนเรามีแค่ดาบ กระทั่งถูกยิงและต้องหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น

และแน่นอนว่า หนึ่งในไดอะล็อก “จำ” ของหนังเรื่องนี้ ก็คือตอนที่มากกลับไปอ้อนนาคว่า ตอนออกศึกนั้น “เค้าไม่เคยคิดถึงสยามเลย เค้าคิดถึงแต่ตัวเอง” (เล่นเอา “พี่ชมพู ฟรุตตี้” แทบจะร้อง “ออกศึกข้านึกแต่รบและรบ จบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น” ไม่ออกเอาเลยทีเดียว)

ประการสุดท้าย “พี่มากฯ” ไม่ได้แค่ทำลายโครงเรื่องของ “นางนาก” แต่ทำลายโครงเรื่องของตำนาน “แม่นาคพระโขนง” ลงไปด้วย ตอนช่วงท้ายๆ หนังตั้งคำถามหรือเล่นหัวกับโครงเรื่องดั้งเดิมอย่างสนุกสนานว่าตกลงใครกันแน่ที่เป็นผีหรือเป็นคน (จนทำให้คนดูสามารถ “หลงทาง” ไปถึงขั้นที่ว่า นาคอาจไม่ใช่ผี) แม้จะไม่ได้ทำลายโครงเรื่อง “แม่นาคฯ” ลงอย่างถอนรากถอนโคน คือ ปฏิเสธความเป็น “ผี” ของนาคอย่างสิ้นเชิง แต่หนัง “พี่มากพระโขนง” ก็เดินทางไปไกลพอที่จะทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันกับ “ผี” (หรือ “ความแตกต่าง”) ได้อย่างเข้าใจและเป็นมิตร ภาพนาคยืนกลับหัวบนเพดานศาลาการเปรียญวัดมหาบุศย์ไม่ได้นำไปสู่การตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่า ชาตินี้นาคและมากจะไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ หากเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเข้าใจว่า “คน” และ “ผี” สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ต่างหาก

หก ผมเข้าใจ (หรือพยายามตีความไปเอง) ว่า ฉากจบของหนังเรื่องนี้ ที่ฉายภาพชาวบ้านชุมนุมขับไล่ “ผีแม่นาค” (ซึ่งสามารถอยู่ร่วมกับพี่มากและสี่สหายได้อย่างปกติสุข) อาจมี “สารทางการเมือง” อยู่บ้างไม่มากก็น้อย เช่น คนทำหนังอาจพยายามยั่วถามคนดูว่า เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมเดียวกันกับคนที่มีความเห็นทางการเมือง “แตกต่าง” กับเราได้หรือไม่? และทำไมเราต้องขับไล่คนที่มีความเห็นต่างออกไปจาก “บ้าน” หลังนี้?

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่น่าตั้งคำถามถึงสถานะการดำรงอยู่ของ “นาค” ในหนังเรื่องนี้เช่นกัน กล่าวคือ สุดท้าย แม้จะมีคนเปิดรับความ “แตกต่าง” ของนาค แต่พวกเขาก็คือมากและสี่สหาย ไม่ใช่คนทั้งชุมชน อีกทั้งพื้นที่ที่เปิดต่อการดำรงอยู่ของ “นาค” จริงๆ กลับเป็น “ซุ้มผีสิง” ในงานวัด ราวกับว่า “ความแตกต่าง” ของ “ผีแม่นาค” จะดำรงอยู่ในสังคมไทยได้ก็ต่อเมื่อ มันเลือกจำกัดศักยภาพในการยั่วล้อ/พลิกหัวกลับหางความเชื่อทางสังคม-การเมืองกระแสหลักของตนเอง ให้อยู่ใน “โลกใต้ดินเสมือน” อันเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลคาร์นิวัลอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ในการดำเนินวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนแต่อย่างใด

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

เหมรย (2024)

The Undertaker (2023) สัปเหร่อ

Hor Taew Tak The Finale (2024) หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด

Pee Nak 3 (2022) พี่นาค 3

Hoon Payon (2023) หุ่นพยนต์

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Infested (2023)
หนังฝรั่ง ซับไทย
หนัง

6.5

ดูหนังออนไลน์ 2023

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่