ดูหนัง The Peacemaker (1997) พีซเมคเกอร์ หยุดนิวเคลียร์มหาภัยถล่มโลก รถไฟ 2
ดูหนัง The Peacemaker ขบวนชนที่ใดที่หนึ่งในรัสเซียโดยขบวนหนึ่งบรรทุกสัมภาระนิวเคลียร์ การระเบิดของนิวเคลียร์ตามความผิดพลาดและโลกกำลังตื่นตัว อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ของทำเนียบขาวดร. จูเลียเคลลี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ ผู้พันโทมัสเดโวเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองปฏิบัติการพิเศษไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาต้องร่วมกันคลี่คลายแผนการสมคบคิดจากยุโรปไปยังนิวยอร์กเพื่อหยุดยั้งผู้ก่อการร้ายที่ไม่มี เรียกร้อง
พีซเมกเกอร์เป็นซีรีส์โทรทัศน์แนวซูเปอร์ฮีโร่ของอเมริกาที่สร้างโดยเจมส์ กันน์สำหรับบริการสตรีมมิ่ง HBO Max โดยสร้างจากตัวละครดีซีคอมิกส์เรื่องพีซเมกเกอร์ เป็นซีรีส์โทรทัศน์เรื่องเดียวของ DC Extended Universe (DCEU) และเป็นภาคแยกจากภาพยนตร์เรื่อง The Suicide Squad ในปี 2021
เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาพยนตร์ ซีรีส์นี้สำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักฆ่าตัวร้ายอย่างคริสโตเฟอร์ สมิธ / พีซเมกเกอร์ ผลิตโดย The Safran Company และ Troll Court Entertainment ร่วมกับ Warner Bros. Television โดยมีกันน์รับหน้าที่เป็นผู้จัดรายการ
จอห์น ซีนาแสดงเป็นตัวละครชื่อเรื่อง โดยกลับมารับบทของเขาจาก The Suicide Squad โดยมีแดเนียล บรูคส์, เฟรดดี้ สโตรมา, ชุควูดี อิวูจิ, เจนนิเฟอร์ ฮอลแลนด์, สตีฟ อากี และโรเบิร์ต แพทริคร่วมแสดงด้วย กันน์ให้กำเนิดพีซเมกเกอร์หลังจากสังเกตเห็นความแข็งแกร่งของซีน่าในฐานะนักแสดงดราม่าขณะถ่ายทำ
The Suicide Squad และเขียนบททั้งแปดตอนในขณะที่ถ่ายทำจนจบในช่วงการระบาดของโควิด-19 HBO Max สั่งสร้าง Peacemaker แบบตรงต่อซีรีส์ในเดือนกันยายน 2020 และมีการคัดเลือกนักแสดงเพิ่มเติมในเดือนต่อๆ ไป การถ่ายทำเริ่มขึ้นในแวนคูเวอร์ แคนาดา ดูหนัง The Peacemaker ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 โดยกันน์เป็นผู้กำกับห้าตอน
สิ้นสุดการผลิตในเดือนกรกฎาคม กันน์เลือกใช้เพลงของแฮร์เมทัลสำหรับเพลงประกอบซีรีส์ รวมถึงเพลง “Do Ya Wanna Taste It” ของวิกแวมสำหรับเพลงเปิด ลำดับชื่อนำเสนอนักแสดงของซีรีส์ที่แสดงท่าเต้นที่ออกแบบท่าเต้นPeacemaker ฉายทางช่อง HBO Max เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2022
โดยมีสามตอนแรก ซีรีส์ที่เหลือเผยแพร่ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ แต่ละตอนมีผู้ชมสูงกว่าตอนที่แล้ว โดยตอนจบของซีซันทำลายสถิติผู้ชมสูงสุดในวันเดียวของตอนดั้งเดิมของ HBO Max ซีรีส์นี้ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวก โดยได้รับคำชมจากการแสดงของซีน่า และการกำกับและเขียนบทของกันน์ ซีซันที่สองได้รับคำสั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และจะรวมเข้ากับ DC Universe (DCU)
ใหม่ของกันน์ การทำงานในซีรีส์สปินออฟ Waller ได้เริ่มขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของ DCUหลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่เขาประสบระหว่างเหตุการณ์ใน The Suicide Squad (2021) คริสโตเฟอร์ สมิธ / ผู้สร้างสันติถูกบังคับให้เข้าร่วม A.R.G.U.S. หน่วยปฏิบัติการดำ “Project Butterfly”
พวกเขากำลังปฏิบัติภารกิจเพื่อระบุและกำจัดสิ่งมีชีวิตคล้ายผีเสื้อปรสิตที่ยึดครองร่างกายมนุษย์ทั่วโลกคริสโตเฟอร์ “คริส” สมิธ หรือที่รู้จักในชื่อผู้สร้างสันติ เป็นศาลเตี้ยที่มีความรุนแรงซึ่งเชื่อในการบรรลุสันติภาพไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะต้องฆ่าคนกี่คนก็ตามในกระบวนการนี้ เขายังเป็นสมาชิกของหน่วยจู่โจม Task Force X ที่สองซึ่งส่งไปปฏิบัติภารกิจที่ Corto Maltese
ในขณะที่เขาสร้างสายสัมพันธ์กับทีม ในที่สุดเขาก็หันไปหาพวกเขาเพื่อทำภารกิจที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ เมื่อพวกเขารู้ว่าทั้งหมดเป็นการปกปิดความผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในความพยายามที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ Smith ได้สังหารหัวหน้าทีม Rick Flag และเพื่อนร่วมทีมและคู่แข่ง Bloodsport
ถูกส่งเข้าสู่อาการโคม่าเมื่อสมิธซึ่งอยู่ในอาการโคม่าฟื้นจากคอร์โต มอลทีส เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลในอเมริกา ซึ่งผู้ประสานงานภารกิจของกองกำลัง จอห์น อีโคโนมอส และเอมิเลีย ฮาร์คอร์ต เฝ้ารอการตื่นของเขา และเตรียมให้เขาเข้าร่วมทีมเล็กๆ เพื่อเข้าร่วมในโปรเจ็กต์บัตเตอร์ฟลาย โดยมีศาลเตี้ยเพื่อนของเขาเข้าร่วมทีมด้วย ในระหว่างดำเนินโครงการบัตเตอร์ฟลาย
พีซเมคเกอร์ยังมีความขัดแย้งกับพ่อของเขา และถูกบังคับให้ต้องสะท้อนมุมมองต่อโลกและความชอกช้ำในอดีต ลงเอยที่สมิธเอาชนะและฆ่าพ่อของเขาเอง ผลพวงของโปรเจ็กต์บัตเตอร์ฟลาย สมิธได้รับการปล่อยตัว จากการควบคุมของ Amanda Waller หลังจาก Leota Adebayo
เปิดเผยความลับที่เสียหายของ Waller ต่อสาธารณชน จากนั้นสมิธเริ่มก้าวเล็กๆ ไปสู่การเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ถูกภาพหลอนของพ่อผู้ล่วงลับตามหลอกหลอนทั่วทั้งโลกต้องตื่นตะลึงอย่างฉับพลันเมื่อรถไฟบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ถูกระบุให้ทำลายทิ้งตามข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างชาติ
เกิดอุบัติเหตุชนกับรถไฟบรรทุกผู้โดยสารทำให้หัวรบนิวเคลียร์กว่า 75 ตันเกิดระเบิดทันที
และส่วนหนึ่งสูญหายไปในช่วงเกิดชุลมุน เป็นเหตุให้ ดร.จูเลีย เคลลี่ นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์สาวในฐานะหัวหน้ากลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์ประจำทำเนียบขาวต้องเข้ามาปฏิบัติภารกิจพิเศษเพื่อสืบหาตัวผู้ร้าย
โดยต้องร่วมมือกับ พันเอก ทอม เดโว หนึ่งในผู้บัญชาการของหน่วยปฏิบัติการพิเศษแห่งกองทัพสหรัฐ ผู้ที่มักจะมีแนวความคิดและจริยธรรมขัดแย้งกับ ดร.จูเลียเสมอ แต่ไม่ว่ายากเย็นเพียงใดทั้งสองต้องร่วมมือกันทำทุกอย่าง ก่อนที่ความหายนะจะแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก
The Peacemaker เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกจากการผลิตของ ดรีมเวิร์กส บริษัทผลิตภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาก่อนหน้านั้นไม่นาน ดูหนัง The Peacemaker โดย สตีเวน สปีลเบิร์ก, เจฟฟรีย์ แคตเซนเบิร์ก และเดวิด เกฟเฟน สำหรับในเรื่องนี้ ผู้กำกับภาพยนตร์ คือ มิมิ ลีเดอร์ ผู้กำกับฯหญิงเจ้าของรางวัลเอ็มมี่จากซีรีส์ชุด ER ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้ จอร์จ คลูนีย์ นักแสดงหนุ่มชาวอเมริกันที่เคยร่วมงานกับลีเดอร์มาก่อนใน ER มารับบทนำ คู่กับ นิโคล คิดแมน นางเอกชาวออสเตรเลียพีซเมคเกอร์ หยุดนิวเคลียร์มหาภัยถล่มโลก (อังกฤษ: The Peacemaker) ภาพยนตร์โลดโผนสัญชาติอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1997
ทั่วทั้งโลกต้องตื่นตะลึงอย่างฉับพลันเมื่อรถไฟบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ถูกระบุให้ทำลายทิ้งตามข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างชาติ เกิดอุบัติเหตุชนกับรถไฟบรรทุกผู้โดยสารทำให้หัวรบนิวเคลียร์กว่า 75 ตันเกิดระเบิดทันที และส่วนหนึ่งสูญหายไปในช่วงเกิดชุลมุน เป็นเหตุให้
ดร.จูเลีย เคลลี่ นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์สาวในฐานะหัวหน้ากลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์ประจำทำเนียบขาวต้องเข้ามาปฏิบัติภารกิจพิเศษเพื่อสืบหาตัวผู้ร้าย โดยต้องร่วมมือกับ พันเอก ทอม เดโว หนึ่งในผู้บัญชาการของหน่วยปฏิบัติการพิเศษแห่งกองทัพสหรัฐ ผู้ที่มักจะมีแนวความคิดและจริยธรรมขัดแย้งกับ ดร.จูเลียเสมอ แต่ไม่ว่ายากเย็นเพียงใดทั้งสองต้องร่วมมือกันทำทุกอย่าง ก่อนที่ความหายนะจะแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก
The Peacemaker เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกจากการผลิตของ ดรีมเวิร์กส บริษัทผลิตภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาก่อนหน้านั้นไม่นาน โดย สตีเวน สปีลเบิร์ก, เจฟฟรีย์ แคตเซนเบิร์ก และเดวิด เกฟเฟน สำหรับในเรื่องนี้ ผู้กำกับภาพยนตร์ คือ มิมิ ลีเดอร์ ผู้กำกับฯหญิงเจ้าของรางวัลเอ็มมี่จากซีรีส์ชุด ER ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้ จอร์จ คลูนีย์ นักแสดงหนุ่มชาวอเมริกันที่เคยร่วมงานกับลีเดอร์มาก่อนใน ER มารับบทนำ คู่กับ นิโคล คิดแมน นางเอกชาวออสเตรเลียเหตุการณ์ขบวนรถไฟสองขบวนชนกันบนรางรถไฟ
โดยที่ขบวนหนึ่งนั้นบรรทุกผู้โดยสาร แต่อีกขบวนหนึ่งบรรจุอาวุธนิวเคลียร์ที่ยังไม่สามารถใช้งานได้ในทันที แต่หลังจากที่รถไฟชนกัน อาวุธนิวเคลียร์ก็ได้เกิดระเบิดขึ้น บนพื้นที่ทั่วไปในท้องถิ่นชนบท ซึ่งทางรัฐบาลก็ให้ความสนใจกัลบคดีนี้เป็นอย่างมาก เคลลี่ (นิโคล คิดแมน) และโธมัส (จอร์จ คูลนีย์)ต้องก้าวเข้าสู่การค้นหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ โดยทั้งสองไม่รู้ตัวว่า มหันตภัยครั้งนี้ ได้ก้าวย่างเข้ามาในชีวิตพวกเขาแล้ว
ดนตรีประกอบประพันธ์ โดย ฮานส์ ซิมเมอร์ นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันที่มีผลงานระดับโลกมาก่อนหน้านั้น หลายเรื่อง อัลบั้มดนตรีประกอบจัดจำหน่าย โดย ยูนิเวอร์แซลมิวสิก
นี่คือหนังเรื่องแรกภายใต้การสร้างของค่าย Dreamworks นะครับ จำได้ว่าตอนเข้าโรงผมไม่ได้ไปดูเนื่องจากเพื่อนๆ มาเล่าคร่าวๆ ว่ามันไม่สนุกอย่างที่คิด ครั้นพอวีดีโอออกผมก็หามาดู และเกิดชอบขึ้นมาจนต้องซื้อเก็บ (ผมจึงชอบบอกเสมอว่าความชอบของคนต่างกัน หนังที่คนอื่นว่าไม่ดีเราอาจว่ามันดีก็ได้ เป็นเรื่องธรรมดาอย่างหนึ่ง )
แล้วผมก็เอามาดูซ้ำบ่อยๆ จนล่าสุดคือวันนี้ครับ ดูอีกรอบก็ยังคงชอบไม่เปลี่ยนแปลง
เนื้อหาออกจะลงสูตรสำเร็จอยู่เหมือนกันนะครับ เมื่อเกิดมีระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่งระเบิดขึ้นกลางชนบทในรัสเซีย เหตุการณ์ครั้งนี้สะเทือนมาถึงอเมริกาครับ ทางเบื้องบนเลยต้องการให้มีคณะสืบสวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันคืออุบัติเหตุธรรมดาหรือมีเบื้องหลังแฝงอยู่กันแน่
ดร. จูเลีย เคลลี่ (Nicole Kidman) ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์เลยถูกตามตัวมา ซึ่งเธอก็แน่ใจว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ เช่นเดียวกับผู้การโทมัส เดโว (George Clooney) ที่เอะใจว่าอุบัติเหตุนี้อาจเป็นเพียงหมอกพรางตา ทว่าแท้จริงแล้วมันคือการโจรกรรมหัวรบนิวเคลียร์ต่างหาก
แล้วมันก็จริงดังคาดครับ เมื่อนายพลอเล็กซานเดอร์ โคโดรอฟ (Aleksandr Baluev) แห่งรัสเซียมีแผนจะนำหัวรบเหล่านั้นไปขาย และหนึ่งในนั้นก็มีคนซื้อไปโดยกะจะนำมาใช้ก่อความไม่สงบอยู่แล้ว ทำให้ โทมัสและเคลลี่ต้องแข่งกับเวลา ตามหาและยึดระเบิดคืนมาให้ทัน ก่อนหายนะนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นมาอีก
มันก็ออกแนวแอ็กชันไล่ล่าลุ้นระทึกตามสูตรจริงๆ นั่นล่ะครับ ซึ่งก็พอเข้าใจว่าทำไม DW ถึงเข็นออกมาเป็นหนังเรื่องแรกของค่าย เพราะมันมีโอกาสสำเร็จทำเงินในฐานะหนังตลาดอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ทำเงินนักในอเมริกาครับ ลงทุนไป 50 ล้าน ทำคืนมาราว 41 ล้าน แต่ก็ยังดีที่รายได้รวมทั่วโลกได้มา 110 ล้าน จึงถือว่าพอเท่าทุนบ้าง
ไม่แปลกใจครับหากหลายคนดูแล้วจะเฉยๆ เพราะมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่สำหรับผมยอมรับเลยว่าถูกใจเกือบทุกรายละเอียด เริ่มจากดารานำอย่าง Clooney ที่เหมาะกับบทนี้มากครับ เป็นขาลุย ห่ามนิดๆ ดีกรีความดุดันพอๆ กับดีกรีอารมณ์ขัน ไหนจะเสน่ห์หล่อคอเอียงสไตล์พี่แกอีก ดูหนัง The Peacemaker บทนี้จึงค่อนข้างพอดี
เช่นเดียวกับ Kidman ที่ดูแล้วเชื่อว่าเธอคือผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์ที่ความรู้เยอะ แต่ประสบการณ์ภาคสนามน้อย ในหลายช่วงที่เธอต้องตัดสินใจทำอะไรตามอำนาจที่มีโดยที่ในใจก็ไม่มั่นใจนักกับการตัดสินใจนั้น ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นแววตาแห่งความไม่มั่นใจมันออกผ่านมาทางใบหน้าของเธอได้จริงๆ
อีกคนหนึ่งที่เล่นได้ดีมากๆ ก็คือ Marcel Iures ในบทดูซาน เกฟริช ที่ผมคงยังไม่สปอยล์ล่ะนะครับว่าเขาเป็นใคร แต่บอกได้ว่าแกเล่นได้ดีมาก หนังประเภท Action บู๊ ตีบทได้แตกโดยเฉพาะฉากเล่าถึงอดีตในช่วงท้ายของหนัง ที่ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรคือแรงจูงใจในการกระทำของเขานอกจากนี้ยังมีดารารุ่นเก๋า Armin Mueller-Stahl มารับบทเป็น ดิมิทริ เวอร์ติคอฟ สหายของเดโวที่ลงภาคสนามมาช่วยตามสืบความจริงด้วย
สิ่งที่ชอบประการต่อมาคือดนตรีประกอบโดย Hans Zimmer ที่เร้าใจได้โล่ห์ ช่วงไหนบีบให้ลุ้นก็ลุ้นได้ที่ ช่วงไหนอยากให้เกิดอารมณ์ฮึกเหิมก็ทำได้สำเร็จ อีกคนหนึ่งที่สมควรเอ่ยถึงก็คือ Dietrich Lohmann ผู้กำกับภาพผู้ล่วงลับ ที่สามารถจับภาพถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี ตั้งแต่เขตชายแดนอิหร่านที่ไร้ชีวิตชีวา ไปจนถึงกลางเมืองนิวยอร์กที่แสนวุ่นวาย
หนังอาจมีช่วงพร่อง ช่วงที่ไม่ค่อยน่าติดตามนักในตอนต้นเรื่องที่ เรียกว่าบางคนอาจบอกศาลาหนังอันเนื่องมาจากตอนต้นไม่ค่อยดึงดูด แต่พอถัดจากช่วงที่ว่ามานั้นหนังก็ยิงยาวครับ เรื่องราวเคลื่อนไหวต่อเนื่องตลอด มีอะไรให้น่าติดตามเสิร์ฟมาเรื่อยๆ ไล่ไปจนถึงช่วงไคลแม็กซ์ที่ทำได้ลุ้นระทึกกำลังดีทีเดียว
ส่วนผู้กำกับก็คือ Mimi Leder หญิงแกร่งแห่งวงการที่สะสมชื่อเสียงจากการทำหนังและซีรี่ส์ทีวี เรื่องที่สร้างชื่อให้สุดๆ ก็คือ ER ครับ เธอกำกับไม่กี่ตอน ทว่าแต่ละตอนมีดีจนรางวัลเอมมี่ยังหันมามอง และนั่นก็ทำให้ Steven Spielberg จับตาและให้โอกาสเธอกำกับหนังเรื่องนี้ซึ่งก็เป็นหนังจอเงินเรื่องแรกของเธอด้วย
ผลงานเรื่องนี้ก็อาจไม่ถึงกับสุดยอดไร้ที่ติ แต่ก็ตอบโจทย์ของหนังแนวนี้ได้ค่อนข้างตรงเป้า ให้ทั้งความสนุกบันเทิง และตื่นเต้นเร้าใจ ดาราเล่นกันดี ดนตรีก็เร้าอารมณ์ บทหนังก็ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ตามเรื่องได้ไม่ยาก ตามด้วยบทสรุปช่วงท้ายที่เข้มข้นใช้ได้ครับ ยอมรับเลยว่าการกำกับเหตุการณ์ตอนท้ายให้ได้อารมณ์ไล่ล่าและน่าติดตามนั้นไม่ใช่ของง่าย แต่ Leder กับทีมงานก็ทำได้ครับ หลายฉากก็ดูเท่ห์ไม่เลวเหมือนกัน
(อย่างตอนเดโวโดดขึ้นหลังคารถที่จอดติดกันอยู่บนถนน วางช็อตได้เท่ห์ดีครับ) แล้วก็ยังมีลีลาบทสนทนาแบบต่อปากต่อคำ หรือชงมุขแบบเนียนๆ อย่างตอนที่เดโวบอกว่า “โคโดรอฟไม่มีทางไปขึ้นรถคันนั้นหรอก ก็เหมือนอิวานา ทรัมป์ไม่ขึ้นรถเมล์นั่นแหละ” (อิวานาคือภรรยาคนหนึ่งของโดนัลด์ ทรัมป์น่ะครับ ซึ่งเธอทั้งรวย เริ่ด และเชิดครบสูตร)
ส่วนหนึ่งที่ผมชมชอบหนังก็คงเพราะลีลาสไตล์ Leder ที่ผมชอบมาตั้งแต่ดู ER แล้วก็เนื้อหาง่ายแต่มันส์ นอกจากนั้นสิ่งที่ผมว่าเข้าท่าคือชื่อเรื่องครับ The Peacemaker ที่แปลว่าผู้สร้างสันติภาพ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องราวของหนังอย่างสุดๆ
ผมว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่วิพากษ์และแสดงผลลัพธ์แห่งการทำหน้าที่เป็นตำรวจโลกของอเมริกา ซึ่งเราทราบกันดีครับว่ารัฐบาลอเมริกันจะเป็นหัวหอกในการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์หรือมีผู้ก่อการร้าย และส่วนใหญ่วิธีการช่วยก็คือการส่งคนเข้าไปล่าสังหารตัวการหรือไม่ก็ส่งอาวุธเข้าไปสนับสนุนฝ่ายที่เข้ากับอเมริกาอะไรทำนองนั้น
ผมเชื่อครับว่าผู้นำและผู้มีอำนาจหลายคนริเริ่มสิ่งเหล่านี้ด้วยเจตนาที่ดี เพราะอยากให้โลกมีสันติภาพ อยากให้ผู้ร้ายดับสูญไปให้หมด ซึ่งเจตนาดีครับ แต่การลงมือนั้นอาจจะเรียกว่า “ดี” ไม่ได้ทั้งหมด เรียกว่า “ถูก” ไม่ได้ทุกอย่าง เพราะบางทีการลงมือปฏิบัติการนั้นมันกลับกลายเป็นการจุดชนวนสู่ความ
“ไม่สันติ” ที่ใหญ่กว่าเดิม หรือไม่ระหว่างปฏิบัติการก็อาจส่งผลให้คนบริสุทธิ์บางส่วน
ต้องมาโดนหางเลข ตั้งแต่บาดเจ็บ พิการจนถึงขั้นล้มตายไปบางครั้งอเมริกาก็ส่งคนเข้าไปปฏิบัติการบนความเข้าใจที่ “ยังไม่ถ่องแท้” (รู้สถานการณ์คร่าวๆ แต่ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยแวดล้อม สภาพสังคม ลัทธิความเชื่อ ความคิดพื้นฐานของประชาชนในประเทศนั้นๆ ฯลฯ) เลยทำให้ผลลัพธ์ออกมาตรงข้าม
และทุกครั้งที่ใช้กำลังปราบปราม ดูหนัง The Peacemaker พวกเขาก็อาจลืมไปว่า หากปราบไม่หมดพวกคนที่เหลือก็จะกลับมาแบบแรงกว่าเดิมนี่ผมพูดเฉพาะผลลัพธ์เชิงลบที่เกิดจากเจตนาดีนะครับ ยังไม่รวมคนที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์อีก บางคนก็ใช้กำลังคน กำลังอำนาจ หรือสร้างสงคราม ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างผลประโยชน์บางอย่างให้กับตนเอง เหล่านี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าก็มีอยู่เหมือนกัน
หนังเรื่องนี้และหนังฮอลลีวู้ดอีกหลายเรื่องก็ราวกับจะตั้งคำถามครับว่าเหล่าผู้สร้างสันติภาพทั้งหลายนั้นควรหันมาทบทวนตัวเองหรือไม่ ประเมินผลการทำงานดูบ้างไหม ว่าภารกิจสร้างสันติภาพนั้นมันก่อผลบวกหรือลบอย่างไร และอันไหนมากกว่ากันการสร้างสันติด้วยกำลังเป็นหลักนั้น มันคือคำตอบที่ดีมากน้อยแค่ไหนสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ ในแต่ละมุมโลก
เอาล่ะ ได้เวลาสปอยล์เล็กๆ แล้ว ใครไม่อยากทราบอย่าอ่านต่อนะครับจากที่ผมกล่าวไปนั้นก็นำมาสู่อีกจุดที่ผมชอบครับ นั่นก็คือเรื่องราวของดูซาน เกฟริช ที่เป็นคนหมายจะเอานิวเคลียร์มาล้างผลาญนิวยอร์ต ซึ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่เพราะอยากทำ เพราะสนุก หรือเพื่อทรัพย์สินเงินทอง แต่เขาทำเพื่อเอาคืนอเมริกาฉากที่หนังถ่ายทอดได้อย่างดีมากๆ คือ ตอนย้อนรำลึกให้คนดูได้รู้ว่าอะไรคือชนวนเหตุให้ดูซานทำแบบนี้ มันก็เพราะเขาต้องมาดูภรรยาและลูกตายไปต่อหน้าระหว่างปฏิบัติการ “สร้างสันติภาพ” โดยกองกำลังอเมริกันนั่นแหละ
ในฉากที่ว่านี่พอดูปุ๊บก็สงสารดูซานทันที และเข้าใจเลยว่า การที่เขาต้องมาระเบิดนิวยอร์คก็เพื่อแก้แค้นให้กับครอบครัว อีกทั้งคนมากมายที่ต้องตายไประหว่างนั้น คนที่เป็นลูกของใครบางคน พ่อแม่ของใครบางคน สามีหรือภรรยาของใครบางคน เขาตระหนักว่า “ผู้สร้างสนติภาพ” ควรหันมาฟังสิ่งนี้ สิ่งที่เขาพบเจอและกำลังจะบอกบ้าง
Iures เล่นได้ดีจริงๆ ครับ ฉากนี้ ดูแล้วสงสารมาก เห็นใจมากจริงๆแน่นอนครับว่าถ้าเป็นในแง่คุณธรรมทั่วไป การเอาคืนอเมริกาด้วยความรุนแรง มันไม่ใช่หนทางอันเหมาะควร เพราะมีแต่จะทำให้ความสูญเสียลุกลาม ความเจ็บปวดแผ่ขยายไปแบบไม่สิ้นสุดแต่เมื่อลองนึกถึงอารมณ์คนที่โดนเรื่องแบบนี้ ต้องสูญเสียครอบครัวและทุกสิ่งไปเช่นนี้ ก็พอเข้าใจถึงสภาวะอารมณ์แบบนั้นครับ มันคงยากที่จะบอกให้ตัวเองลืม คงไม่ง่ายสำหรับการให้อภัย และคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเริ่มต้นตั้งหลักชีวิตใหม่
เรื่องนี้สะท้อนมุมคิดให้ผมอีกอย่างนะครับ… เราอาจพูดกันว่าวิธีรับมือกับปัญหาและการสูญเสีย คือ อย่าจมอยู่กับอดีต อย่าปล่อยให้ความเศร้ามาบงการอารมณ์ของคุณ พยายามหาแง่มุมทางบวกมาดึงตัวเองให้เกิดสติ ฯลฯ นั่นคือหลักที่ใช้ได้ครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าคนเรามีที่มาที่ต่างกัน สภาพแวดล้อมที่โตมาก็ไม่เหมือนกัน
หลักที่ว่านั้นอาจนำมาใช้ได้ง่ายกับคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ส่งเสริมการคิดบวก สนับสนุนการให้อภัย อีกทั้งมีกำลังใจไหลมาเทมาจากรอบด้าน ว่าง่ายๆ คือถ้าโตมากับสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าคนอีกมากที่ไม่ได้โชคดีอย่างนั้น อย่างเช่น ดูซาน ที่มีชีวิตอย่างยากลำบาก มีสงครามทั้งในและนอก บ้านเมืองขาดเสถียรภาพ มีความรุนแรงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า เกิดปัญหาจนอเมริกายื่นมือเข้ามาจัดการให้ แล้วก็ได้ผลลงเอยอย่างที่เห็นในหนัง… ผมจึงพอเข้าใจครับ ว่าสำหรับดูซานแล้ว เหตุใดเขาจึงตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น
นี่คือสิ่งที่โลกควรหันมองและเข้าใจ ความจริงที่ว่ามันมีความซับซ้อนเกินกว่าแค่คำว่า คนดีและคนร้าย, ผู้สร้างสันติภาพและผู้ก่อความไม่สงบ, ยุติธรรมและความอยุติธรรม, ความถูกต้องและความผิด ฯลฯหากจะมีอะไรที่ผมเสียดายเล็กๆ ในหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นการเล่นกับประเด็นนี้น่ะครับ ที่ยังเล่นไม่ถึงเครื่องสักเท่าไร เรียกว่าดีในเชิงแอ็กชัน ไล่ล่า และการเดปิดประเด็น แต่ยังพร่องอีกนิดเดียวตรงการขยำประเด็นใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความเด่นและคุณค่าให่กับหนังนั่นแหละครับ โดยรวมผมชอบหนังเรื่องนี้นะครับ ดูหนัง The Peacemaker แอ็กชันสนุก ตื่นเต้นเร้าใจ องค์ประกอบดี มีประเด็นชวนคิด เพียงแต่ถ้ามีการปรุงประเด็นต่อยอดในหนังอีกสักหน่อย คงแจ๋วไปเลยครับ แต่เท่าที่เป็นนี่ก็
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Peacemaker (1997) พีซเมคเกอร์ หยุดนิวเคลียร์มหาภัยถล่มโลก เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง ดูหนัง ออนไลน์ หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
7.8