The Killing Fields (1984) ทุ่งสังหาร เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2527 ซึ่งกล่าวถึงประเทศกัมพูชาในยุคการปกครองของเขมรแดง โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องจากประสบการณ์จริงของนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่เข้าไปทำข่าวในกัมพูชาขณะนั้น 3 คน ได้แก่ ซิดนีย์ ชานเบิร์ก นักข่าวชาวอเมริกัน ดิธ ปราน ล่ามและนักข่าวชาวเขมร และจอน สเวน นักข่าวชาวอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่ 57 เป็นผลงานการกำกับของโรแลนด์ จอฟเฟ นำแสดงโดยแซม วอเตอร์สตัน, ดร. เฮียง เอส. งอร์, จูเลียน แซนด์, และ จอห์น มัลโควิช ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่ถ่ายทำในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะทางวัฒนธรรมและภูมิประเทศใกล้เคียงกับประเทศกัมพูชามากที่สุด เนื่องจากในช่วงเวลาที่ถ่ายทำภาพยนตร์นั้น แม้ประเทศกัมพูชาจะสิ้นสุดยุคการปกครองของเขมรแดงแล้ว แต่ประเทศก็ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูจากสงครามกลางเมืองในยุคก่อนหน้า และยังคงมีการปะทะกันระหว่างกองทหารของขั้วการเมืองต่างๆ ในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง การเข้าไปใช้สถานที่จริงในการถ่ายทำภาพยนตร์จึงไม่ปลอดภัย ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์ชุดนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ครั้งแรกใช้ชื่อว่า สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น แผ่นดินของใคร และ ทุ่งสังหาร
ผลิตขึ้นมาจากสถานะการณ์จริงของผู้รายงานข่าว ผู้ครอบครองรางวัล Pulitzer Prize, Sydney Schanberg ที่อยู่ในกรุงพนมเปญขณะเขมรแดงเข้ายึดอำนาจ แล้วก็ Dith Pran ผู้สื่อข่าวเชื้อชาติเขมร ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในค่ายกักขังนานถึง 4 ปี, การดูหนังประเด็นนี้ด้วยความเข้าใจว่า ‘เกิดขึ้นจริง’ มันช่างเจ็บปวดรวดร้าวสาหัส “จำต้องมองให้ได้ก่อนตาย”
หนังหัวข้อนี้ แล้วก็ Come and See (1985) เป็นสองเรื่องที่ผมไม่ต้องการที่จะอยากส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้มองเห็นข้อเท็จจริงที่เหี้ยมโหดจากการกระทำของคน แม้กระนั้น ‘เรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตาย’ ผมเสนอแนะหนังหัวข้อนี้ไว้ให้ ‘จำต้องดูซิตาย’ เพื่อไม่ให้ ‘ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำรอย’ ผมเรียกการรบเขมรแดงนี้ว่า ‘การสู้รบของคนโง่เขลา’ จุดกำเนิดมีเหตุที่เกิดจากกลุ่มของผู้คนที่เรียกตัวเองว่า นักปราชญ์กรุงปารีส (Paris Student Group) นิสิตฝั่งซ้ายชาวเขมร ที่ได้รับทุนเพื่อการศึกษาจากรัฐบาลเขมรให้ไปเรียนรู้ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ในตอนทศวรรษที่ 50s นำโดยซาลอธ ซาร์ (Saloth Sar) ที่เปลี่ยนแปลงชื่อเป็นนายพล พต (Pol Pot) ด้วยกันตั้งขึ้นกรรมวิธีระบอบคอมมิวนิสต์ ลัทธิ Marxism–Leninism ของตัวเองขึ้น มีอุดมการณ์เพื่อสร้างสังคมรูปแบบใหม่ ใช้การเปลี่ยนแปลงแบบเบ็ดเสร็จโดยชนชั้นใช้แรงงานเป็นตัวขับ, ข้างหลังเดินทางกลับประเทศ ได้มีการเก็บรวบรวมราษฎรในชื่อ เขมรแดง (Khmer Rouge, Red Khmer), และก็ได้กระทำเปลี่ยนแปลงทำลายรัฐบาลลอน นอล (Lon Nol) ใน พุทธศักราช2518 (1975) ก่อให้เกิดการจัดตั้งระบอบเขมรระบบประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) ในเวลาถัดมา
อย่างแรกที่เขมรแดงปฏิบัติภายหลังจากได้รับอำนาจหมายถึงการกวาดต้อนพสกนิกรเขมรทั้งสิ้นจากกรุงพนมเปญและก็เมืองสำคัญอื่นๆมาบังคับให้ทำการเพาะปลูกแล้วก็ใช้แรงงานด้วยกันในพื้นที่บ้านนอก นิสิตบัณฑิต หมอ วิศวกร ผู้มีปัญญา นักแสดง ว่ากันว่าคนสวมแว่นสายตาที่ดูราวกับว่ามีความรู้ความสามารถ เป็นภัยต่อความยั่งยืนมั่นคง ดูแลยาก จะถูกฆ่าตายอย่างไร้เหตุผล, ความประพฤติปฏิบัติดังที่กล่าวผ่านมาแล้วนี้ ทำให้พลเมืองชาวเขมรจำต้องเสียชีวิตจากการเช็ดกฆ่า ถูกบังคับใช้แรงงาน รวมทั้งความยากแค้น เป็นปริมาณโดยประมาณ 850,000 ถึง 3 ล้านคน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของพลเมืองที่เสียชีวิตต่อปริมาณสามัญชนเขมรทั้งปวงในเวลานั้น (ราว 7.5 ล้านคน ใน พุทธศักราช 2518) ถือว่าเป็นระบบการปกครองของเขมรแดงเป็นเลิศในระบอบที่มีความร้ายแรงที่สุดในตอนคริสต์ศตวรรษที่ 20
(ย่อหน้านี้ถ้าเกิดมีบกพร่องอย่างใด แจ้งปรับแต่งได้ครับ) ไทยพวกเรามีความเห็นว่าตอนรัฐบาลของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชได้ให้การสนับสนุนเขมรแดง จัดส่งอาวุธที่ได้รับมาจากจีนสนับสนุนเขมรแดง (หนทำอย่างงี้เพื่อสานความเชื่อมโยงกับจีน) มีความเห็นว่ามีการให้ทหารไทยแต่งชุดเสมือนเขมรแดงเพื่อร่วมทำศึกกับรัฐบาลเขมรด้วย ซึ่งเพียงพอเขมรแดงยึดพนมเปญเสร็จ ท่านคึกฤทธิ์ก็ประกาศเกื้อหนุนนายพล พตให้เป็นผู้นำประเทศเกือบจะในทันที
เขมรแดงดูแลเขมรเป็นระยะเวลา 4 ปี ใน พุทธศักราช 2522 (คริสต์ศักราช1979) ได้ถูกรุกรานจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ระบอบคอมมิวนิสต์) ทำให้จำเป็นต้องถอยร่นข้ามเขตมาลี้ภัยอยู่ประเทศไทย ว่ากันว่านายพล พต ก็หลบภัยไทยมาอยู่ประเทศไทยตอนนั้นด้วย ซึ่งทหารไทยและก็เขมรแดงก็ด้วยกันต้านระบอบคอมมิวนิสต์อย่างเต็มกำลัง แม้กระนั้นนี่เป็นตอนจบของเขมรแดงในเขมร ที่ถูกยึดอำนาจคืนโดยเวียดนาม, การเคลื่อนไหวของเขมรแดงยังคงมีอยู่เรื่อยซึ่งดำเนินมาถึง พุทธศักราช 2539 (คริสต์ศักราช 1996) นายพล พต หัวหน้าขั้นตอนก็เลยเลิกลักษณะการทำงานของเขมรแดงลงอย่างเป็นทางการ ภายหลังที่มีการเซ็นชื่อในกติกาสันติ
นายพล พต ถึงมรณกรรมตอนวันที่ 15 เดือนเมษายน พุทธศักราช 2541 (คริสต์ศักราช 1998) โดยที่ยังมิได้รับการไตร่ตรองคดีฆาตกรรมหมู่พสกนิกรในตอนที่เขมรแดงยังมีอำนาจอยู่อะไร ซึ่งกว่าจะเริ่มมีการวินิจฉัยได้ ก็ลากยาวไปถึงพ.ค. พุทธศักราช 2549 (คริสต์ศักราช 2006) ศาลสูงของเขมรได้วินิจฉัยว่าหัวหน้าเขมรแดงอีกทั้ง 30 คนมีความผิด ได้รับโทษจำตารางตลอดชีพ
” ประวัติศาสตร์จากหน้าหนังสือพิมพ์ ”
เป็นภาพยนตร์อีกประเด็นที่มีความคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้มอง ที่ได้รับทราบประวัติศาสตร์ที่ผมปล่อยปละละเลยไป ด้วยเหตุว่าธรรมดาผมจะมีความสนใจการรบใหญ่ๆในอาเซียนก็รำลึกถึงแต่ว่าการศึกเวียดนามเป็นหลัก จนกระทั่งลืมมองดูผลพวงแล้วก็เรื่องตลอดที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้านบริเวณเวียดนามไปเลย เขมรเองก็จำเป็นต้องพบเจอความเหี้ยมโหดของการรบด้านในที่ได้ผลสำเร็จพวงมาจากการศึกด้านนอกอย่างการสู้รบเวียดนามไปด้วย ในช่วงปลายของการศึกเวียดนาม ประเทศสหรัฐอเมริกาผู้ผลักดันและสนับสนุนรัฐบาลข้างระบบประชาธิปไตยเขมร(ข้างต้านลัทธิคอมมิวนิสต์) ได้ถอนกำลังออกมาจากเขมรเนื่องด้วยสถานะการณ์การศึกในเวียดนามที่อเมริกาก็กำลังจะถอนกำลังด้วยเหมือนกัน ข้างเขมรแดงก็เลยได้ทำประกาศความมีชัยแล้วก็เขายึดเมืองหลวงของเขมรในทันทีทันใด ทำให้สถานะการณ์ในกรุงพนมเปญเวลานี้ไม่ดีถึงขีดสูงสุดสำหรับพสกนิกรเขมรที่เป็นหัวยุคใหม่ มีความสามารถ แล้วก็เกื้อหนุนฝ่ายรัฐบาล
เปรียบเสมือนการเช็ดกลอยแพที่เลือกไม่ถูกฝั่งอย่างไรแบบนั้น รัฐบาลที่นำโดยกองกำลังเขมรแดงเริ่มแนวความคิดการปกครองตามแนวความคิดระบบคอมไม่วนสต์ด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานพลเมืองออกมาจากเมืองหลวงสู่ต่างจังหวัดใช้ประโยชน์แรงงานทำทำการเกษตร ตามแนวความคิดของความเท่าเทียมกันไม่มีชนชั้น ทุกคนเป็นเพื่อนกัน ยึดหลักสังคมพึ่งจะพาตัวเองแค่เพียงให้มีข้าวรับประทานก็อยู่แล้ว รัฐบาลเขมรแดงเลิกล้มระบบเงิน การธนาคาร และก็หน่วยงานเอกชนทั้งผอง ให้ทุกคนจะต้องช่วยเหลือกันปฏิบัติงานเพื่อจะมีของกินรับประทาน ผู้ใดที่ต้าน หรือมองมีความเข้าใจก็จะถูกฆ่า เนื่องจากว่าจะเป็นตัวขวางอุดมการณ์การของการรีเซตสังคมเขมรโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดังนั้นเองเป็นจุดกำเนิดของเหตุทุ่งฆ่าที่ถูกประเมินการฆ่าล้างเชื้อสายสามัญชนไปไม่น้อยกว่า5 แสน – 2 ล้านคน หากแม้ตัวหนังจะอาศัยเรื่องราวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเพียงแค่บริบทแต่ว่าก็ทำให้พวกเราอดที่จะท้อใจและก็สลดใจไปกับเหตุการร์ดังที่กล่าวมาข้างต้นมิได้เลยจริงๆยิ่งกว่านั้นหนังยังซ่อนเร้นหลักสำคัญของการจิกกัดแนวทางด้านการเมืองของ Nixon ผ่านความเชื่อมโยงของสองผู้สื่อข่าวต่างเชื่อชาติ Sydney Schanberg ผู้รายงานข่าวชาวอเมริกาแล้วก็ ล่ามชาวเขมร Dith Pran เขาทั้งคู่พยามเปิดเผยความชั่วช้าสารเลวร้ายของการทำศึกออกมาสู่สาธารณะโลกอย่างถึงที่สุด ขนาดสถานะการณ์ในเขมรชั่วร้ายมากมายๆแล้ว พวกเขาก็ยังปักหลักทำข่าวสารจนกระทั่งพวกเขาเกือบจะโดนจับไม่เคยรู้จำนวนกี่ครั้ง
จนกระทั่งสุดท้ายรัฐบาลเขมรแดงนั้นบีบให้คนต่างประเทศ ออกมาจากประเทศไปให้หมดทำให้ซิดนีย์และก็นายพรานจำต้องแยกจากกันทั้งๆที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามากมายสำหรับเพื่อการทำข่าวสาร ซิดนีย์ต้องทิ้งนายพรานไว้ภายในเขมรในพบเจอโชคชะตาเช่นพลเมืองผู้อื่นทั้งคู่ก็ราวกับผู้แทนของอเมริกาแล้วก็เขมร ที่ถูกอเมริกาใช้ประโยชน์เสร็จรวมทั้งจากไป ปลดปล่อยให้เขมรจำเป็นต้องพบเจอเคราะห์กรรมของตัวเองไป มันช่างน่าสังเวชจริงๆอารมณ์ของหนังค่อนข้างจะทำให้พวกเราอินไปกับเรื่องราวได้อย่างสะดวกสบาย มันมองมุ่งมั่นเสมือนพวกเราได้มองสารคดีที่เผยความเป็นจริงทั้งยังข้างหน้าและก็เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุทุ่งฆ่านี้อย่างยิ่งจริงๆ
ตอนก่อนหน้านี้ มีนักอ่านหลายๆท่าน ส่งข้อความมาหาผมทางเฟซบุ๊กประมาณว่าอยากที่จะให้เอ๋ยถึงหนังเรื่อง The Killing Fields สักนิดสักหน่อย เนื่องจากดูเหมือนกับเหตุการณ์อย่างยิ่ง ผมก็ยังคลุมเคลือว่า ที่ท่านใช้คำว่า “กับเหตุการณ์” นั้น เหมาะยังไง หรือท่านคิดว่า ตำนานที่ “ทุ่งฆ่า” จะย้อนมาอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งดูอย่างไร ก็เป็นได้ยากอยู่หรอกขอรับ เพราะเหตุว่าทหารของไทยพวกเรา ยังไงเสีย ก็อาจไม่ปลดปล่อยให้คนไหนกันแน่มาทำให้ชาวไทยเสียเลือดเสียเนื้อกันมากมายกันแน่ๆ แม้กระนั้นที่ว่าจะ “เสียความรู้สึก” นั้นก็อีกหนึ่งเรื่อง
เอาเถอะ ไหนๆก็เรียกร้องกันมาแล้ว ผมก็เลยขอพักหนังโรงไว้สักอาทิตย์ ซึ่งที่ผ่านๆมา ก็มีภาพยนตร์ไทยอย่าง “เท่ง โหน่ง ผ้าจีวรบิน” เข้าฉาย ซึ่งจะว่าไป ไม่มองไม่เอ่ยถึงก็คงจะไม่เสียหาย แต่ว่ามองเห็นน้องๆคนจำนวนไม่น้อยไปดูมาแล้ว พูดว่า “เสียหายมากมายเลยนะครับพี่” อ้าว เป็นถ้าอย่างนั้นไป
ประวัติศาสตร์เป็นเลิศในสาเหตุของพล็อตเรื่องในรูปภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใดแล้วก็นําเสนอในต้นแบบใดถึงภาพยนตร์จะเป็นสื่อที่มักมีลักษณะที่ย้ำการให้ความบันเทิงจรรโลงใจแต่ว่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความร้ายแรงที่มองตรงกันข้ามกับการเป็นความเบิกบานไปได้ถ้าเกิดไม่ใช่ผู้นิยมสิ่งนั้นก็ถูกนําเสนอในแบบภาพยนตร์เหมือนกันภาพยนตร์เรื่อง The Killing Fields ที่เผยแพร่ตั้งแต่คริสต์ศักราช 1984 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวบทที่ถูกผลิตขึ้นมาเสนอความร้ายแรงในขณะที่เป็นภาพแล้วก็ในส่วนเรื่องราวที่ก็เชื่อมโยงถึงสถานะการณ์จริงสถานที่จริงไปจนกระทั่งบุคคลที่มีอยู่จริงด้วยประวัติศาสตร์ผ่านตัวบททางด้านวัฒนธรรมอย่างภาพยนตร์แบบนี้ก็เลยมีพลังสำหรับเพื่อการติดต่อทางด้านการเมืองมากมาย
โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเป็นการเล่าถึงเรื่องราวที่เพิ่งจะผ่านไปเพียงแต่ไม่นานองค์ประกอบความเชื่อมโยงทางอําที่นาจแล้วก็หน้าที่สถานะของคนที่iเกี่ยวพันกับเรื่องราวก็ยังคงมีความร่วมยุคกันอยู่การนําเสนอเรื่องราวแบบนี้ก็เลยสามารถทำให้เกิดผลกระทบทางด้านการเมืองตามมาได้ไม่ว่าจะร้ายแรงเท่าไรภาพยนตร์ในที่นี้ก็เลยมิได้เป็นเพียงแต่ภาพสะท้อนของวิชาความรู้หรือการพยายามสร้างความรับทราบแบบหนึ่งต่อเรื่องความร้ายแรงนี้แม้กระนั้นเป็นทั้งยังเครื่องไม้เครื่องมือที่ขับระบบความเกี่ยวเนื่องทางด้านการเมืองอีกด้วยโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ต่อให้เป็นภาพยนตร์ที่สร้างโดยบริษัทจากสหราชอาณาจักรแต่ว่าผู้ดําเนินเรื่องหลักในรูปภาพยนตร์กลายเป็นผู้สื่อข่าวจากสหรัฐฯรวมทั้งผู้สื่อข่าวชาวเขมรซึ่งเรื่องราวก็มาจากประสบการณ์จริงของคนทั้งคู่ที่มีมากรรมวิธีนําเสนอหลักของภาพยนตร์หัวข้อนี้ก็เลยเป็นการเล่าเรื่องราวที่ซ้อนทับกันอยู่อีกทั้งเรื่องสังคมในระดับสังคมที่ใหญ่ขึ้นไปรวมทั้งระดับเฉพาะผู้เดียวซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมอย่างเช่นในระดับประเทศสถานะการณ์ด้านการเมืองดังเช่นว่าการสู้รบการศึกหรือรอยแผลทางด้านจิตใจแล้วก็ทางร่างกายที่เป็นประสบการณ์ด้วยกันของคนจํานวนมากไปจนกระทั่งระดับระหว่างชาติที่ในเรื่องประกอบไปด้วยฉากหลักอยู่ที่ราชอาณาจักรกัมพูชา
แต่ว่าก็มีส่วนที่บ่งบอกถึงถึงเหตุการณ์ทางด้านประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยอย่างเช่นในช่วงท้ายของภาพยนตร์ที่ผู้ดําเนินเรื่องหลักสองคนอยู่คนละที่กันและก็พบเจอชะตาชีวิตที่แตกต่างทําให้บรรยากาศที่แตกต่างในหลายมุมมองถูกเทียบจากการนํามาเสนอควบคู่กันนอกจากนี้ยังเจอฉากสถานทูตจากต่างแดนและก็กระทำการทางด้านการเมืองหลายแบบอย่างที่เกิดขึ้นในระดับระหว่างชาตินี้และก็อาทิเช่นในระดับเฉพาะตนซึ่งแต่ละคนก็มีประสบการณ์ส่วนตัวที่เกิดขึ้นจากองค์ประกอบล้นหลามทำขึ้นมาอย่างชีวิตด้านที่ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆในสังคมตั้งแต่ความเชื่อมโยงแบบสหายความเชื่อมโยงกับครอบครัวตลอดไปจนกระทั่งความเชื่อมโยงระหว่างเฉพาะผู้เดียวกับสถาบันใหญ่เป็นต้นว่าหน่วยงานที่ตนขึ้นตรงต่อแล้วก็กับเมืองฯลฯ
กรรมวิธีการนําเสนอถึงผู้อยู่ในเหตุการณ์ความร้ายแรงแบบเป็นหน่วยเล็กหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของเหตุด้านการเมืองที่มีพลังอําท้องนาจก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่กว้างใหญ่แบบนี้มีลักษณะคล้ายกับการมอบ “ความเป็นมนุษย์” คืนให้แก่ “เหยื่อ” ผ่านเรื่องราวประสบการณ์ของแต่ละคนมากมายไปกว่าเพียงแค่การมองมองเห็นพวกเขาเป็นฝูงชนในฐานะเหยื่อ
แม้การทําลายความเป็นคนเป็นเหตุสําคัญก่อนที่จะกำเนิดความร้ายแรงการคืนความเป็นคนให้พวกเขาก็เลยเป็นการแสดงความนับถือแล้วก็เป็นการมอบเกียรติยศที่หายไปเมื่อครั้งที่พวกเขาถูกแลเห็นเป็นศัตรูมากยิ่งกว่าเพื่อนมนุษย์สำหรับการกระทําความร้ายแรงต่อพวกเขาหรือก็คือเป็นการแสดงความนับถือต่อพวกเขาไปด้วยแนวทางนําเสนอเรื่องแบบที่เป็นเหมือนประวัติบุคคลของคนสองคนภายใต้อีกมิติในสังคมการบ้านการเมืองที่ทับทับกันอยู่นี้ก็เลยส่งผลให้เกิดการมองมองเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แบบ “มีเนื้อมีหนัง” มากเพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงแค่เหยื่อที่มีหน้าตาเพียงแต่คนที่ได้รับผลพวงจากสถานะการณ์นี้ราวกับๆกันไปหมด
เรื่องราวของผู้รายงานข่าวทั้งคู่มิได้เป็นความชมรมส่วนตัวที่นําเสนอขึ้นเพียงเท่านั้นด้วยความเป็นชาวเขมรแล้วก็ความเป็นอเมริกันของทั้งคู่ภาพที่ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกรอบข้างหลังปรานหรือผู้รายงานข่าวชาวเขมรหนีออกมาจากพื้นที่ที่เกิดความร้ายแรงได้แล้วก็โผเข้ากอดกันเป็นหลักฐานแสดงความเกี่ยวเนื่องของทั้งสองที่ปรับปรุงไปๆมาๆกจนกระทั่งขั้นช่วยเหลือกันไว้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วความข้องเกี่ยวนี้ถูกขับเน้นย้ำขึ้นไปอีกเมื่อเปรียบเทียบกับบริบทที่ทั้งสองพบเจอซึ่งไม่เหมือนกันกับพวกเขามากมายเป็นการทิ้งระเบิดสู่เขมรโดยประเทศสหรัฐอเมริกาความข้องเกี่ยวของพวกเขาก็เลยตั้งอยู่บนคุณประโยชน์หรืออุดมการณ์บางสิ่งบางอย่างด้วยกันที่ไม่ใช่ความเป็นชาติแต่ว่าก็เช่นกันที่ค่าที่ถูกนําเสนอผ่านสองผู้ดําเนินเรื่อง
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Killing Fields (1984) ทุ่งสังหาร หนังประเภท History ประวัติศาสตร์ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
6.3