ดูหนังออนไลน์ใหม่2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนัง 2023 HDฟรี
8xbet212

The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์

2 คะแนน

ตัวอย่าง

The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์

The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์  พาไปติดตามเรื่องราวของ จ่าจอห์น ผู้ที่ต้องไปปฏิบัติงานครั้งสุดท้าย

The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์ ที่อัฟกานิสถาน โดยเข้าจะร่วมงานกับล่ามท้องถิ่น อาเหม็ด ผู้ที่เสี่ยงชีวิตนำเอาตัวของ จอห์น ที่บาดเจ็บฝ่าพื้นที่การรบเพื่อไปสู่ที่ปลอดภัย เปิดสมรภูมิเดือด แรงทะลุองศา

ไปกับภาพยนตร์แอ็กชัน The Covenant (เดอะ โคเวแนนท์) โดย กาย ริชชี่ จากสตูดิโอผู้สร้าง STX Entertainment กับผลงานล่าสุดของ กาย ริชชี่ จากSherlock Holmes โดย ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล และ ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ ร่วมจัดจำหน่ายในประเทศไทย โดย กาย ริชชี่ บอกเล่าเรื่องราวของ สิบเอก จอห์น คินลีย์ (แสดงโดย เจค จิลเลนฮาล) ทหารที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ครั้งสุดท้ายในอัฟกานิสถาน เขาได้ร่วมมือกับ อาเหม็ด (แสดงโดย ดาร์ ซาลิม)

ล่ามในพื้นที่เพื่อออกลาดตระเวน เมื่อหน่วยของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี จอห์นกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส และรอดชีวิตมาได้ด้วยการช่วยเหลือของอาเหม็ด ที่ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตเขา จนทำให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าหมายที่ตาลีบันต้องการล่าตัว หลังจากจอห์นกลับอเมริกาและรักษาตัวจนหายดี

แต่อาเหม็ดและครอบครัวกลับยังต้องหลบซ่อนตัวจากพวกตาลีบันอยู่ที่อัฟกานิสถาน ภารกิจ “ลุยเดี่ยว” เพื่อช่วยเพื่อนของจอห์นจึงเปิดฉากขึ้น! เตรียมลุ้นระทึกกับภารกิจสุดยิ่งใหญ่ของ เจค จิลเลนฮาล ที่บุกเดี่ยวฝ่าสมรภูมิเดือดเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเพื่อน พบกับผลงานล่าสุดของผู้กำกับมากฝีมือ กาย ริชชี่ ใน  (เดอะ โคเวแนนท์) โดย กาย ริชชี่ ดูก่อนอเมริกา 20 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์

ในเดือนมีนาคม 2018 ท่ามกลางสงครามในอัฟกานิสถาน จ่าสิบเอกจอห์น คินลีย์และหน่วยของเขาถูกซุ่มโจมตีโดยการโจมตีด้วยระเบิดรถบรรทุกที่จัดทำโดยกลุ่มตอลิบานระหว่างการตรวจสอบยานพาหนะตามปกติที่แลชคาร์กาห์ ซึ่งอ้างว่าล่ามของเขาเสียชีวิต เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับอาเหม็ด

อับดุลลาห์ ล่ามที่แน่วแน่แต่ไม่มีใครชอบ เขาอ้างว่าเขาทำงานนี้เพียงเพื่อเงินเท่านั้น ในระหว่างปฏิบัติภารกิจจับกุมตัวนอกเครื่องแบบ คินลีย์ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้อาเหม็ดเคยเกี่ยวข้องกับกลุ่มตอลิบาน แต่ได้แปรพักตร์เมื่อองค์กรสังหารลูกชายของเขา ต่อมาอาห์เหม็ดได้ช่วยทีมของคินลีย์จากการถูกซุ่มโจมตีโดยหน่วยตาลีบันซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากทหารกองทัพแห่งชาติอัฟกานิสถาน ซึ่งได้รับความเคารพจากคินลีย์

ระหว่างการจู่โจมอีกครั้งเพื่อตรวจสอบที่เก็บอาวุธของกลุ่มกบฏที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 100 กิโลเมตร (62 ไมล์) ทางเหนือของฐานทัพอากาศ Bagram หน่วยของ Kinley ถูกโจมตีโดยกำลังเสริมของ Taliban ซึ่งสังหารทุกคนยกเว้นเขาและ Ahmed ทั้งคู่สามารถหลบหนีได้ด้วยการเดินเท้า สังหารนักรบตอลิบานหลายคนในกระบวนการนี้ ในขณะที่พยายามกลับไปยังฐานทัพอากาศโดยเดินทางผ่านภูมิประเทศ

ที่เป็นภูเขาในอัฟกานิสถาน พวกเขากลับถูกซุ่มโจมตีอีกครั้งโดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งจัดการทำร้ายคินลีย์ก่อนที่จะฟาดเขาด้วยก้นปืนไรเฟิล ทำให้เขาไร้ความสามารถ อาเหม็ดสามารถสังหารกลุ่มตอลิบานได้และตัดสินใจพาคินลีย์กลับไปที่ฐานทัพอากาศ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากชาวอัฟกานิสถานที่เห็นอกเห็นใจ อาเหม็ดจึงหลบเลี่ยงการตามล่าของกลุ่มตาลีบัน แบกคินลีย์ขึ้นเหนือภูมิประเทศบนภูเขาที่อันตรายของประเทศ หลายวันต่อมา Ahmed และ Kinley อยู่ใกล้ Bagram แต่ถูกโจมตีโดยนักรบตอลิบาน อาเหม็ดสังหารนักรบ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกจับกุมโดยกองทหารสหรัฐฯ

สี่สัปดาห์ต่อมา คินลีย์ถูกส่งตัวกลับบ้านของเขาในซานตาคลาริตา แคลิฟอร์เนีย โดยไม่รู้ว่าเขาได้รับการช่วยชีวิตได้อย่างไร แต่ก็เข้าใจบทบาทของอาเหม็ดในเรื่องนี้ เมื่อรู้ว่าอาเหม็ดและครอบครัวของเขาถูกบังคับให้ย้ายไปใต้ดินเนื่องจากการหลบหนีของทั้งคู่ที่กลายเป็นนิทานพื้นบ้าน Kinley พยายามจัดหาวีซ่าสหรัฐฯ ให้พวกเขา แต่ก็ไร้ผล ด้วยความทรมานทางอารมณ์และเกือบนอนไม่หลับจากการที่เขาไม่สามารถชดใช้หนี้ที่มีต่ออาเหม็ดได้ ในที่สุด Kinley ก็ตัดสินใจช่วยเขาเอง โดยขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชาของเขา พันโท Vokes ในการจัดหาวีซ่า

กลับไปอัฟกานิสถานภายใต้นามแฝงของรอน เคย์ คินลีย์ได้พบกับปาร์กเกอร์

ผู้รับเหมาทางทหารส่วนตัว ผู้ซึ่งสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนโดยมีเงื่อนไขว่าอดีตจะค้นหาอาเหม็ดก่อน คินลีย์ได้พบกับอาลีน้องชายของอาเหม็ด ผู้ซึ่งพยายามลักลอบพาคินลีย์ข้ามดินแดนที่ตอลิบานควบคุม ในกระบวนการนี้

เขาสังหารผู้ก่อความไม่สงบสองคนหลังจากเกือบถูกจับได้ที่จุดตรวจบนถนน ซึ่งแจ้งเตือนกลุ่มตอลิบาน Vokes แจ้ง Kinley ว่าวีซ่าได้รับการดำเนินการแล้วและอยู่กับ Parker ในที่สุดก็มาถึงที่หลบซ่อนของอาเหม็ด คินลีย์เกลี้ยกล่อมให้เขาและครอบครัวพาเขาไปอเมริกา The Covenant  ขณะเดียวกัน ปาร์กเกอร์ก็ฉงนฉงายตัวตนที่แท้จริงของคินลีย์ เมื่อตระหนักถึงอันตรายที่ทั้งคู่กำลังเผชิญอยู่เนื่องจากคุณค่าของพวกเขาที่มีต่อกลุ่มตอลิบาน เขาจึงจัดหาเครื่องติดอาวุธ AC-130

และเฮลิคอปเตอร์จู่โจม Apache เพื่อให้การสนับสนุนทางอากาศ ในขณะเดียวกัน กลุ่มตาลีบันก็โจมตีคินลีย์ ซึ่งพยายามหลบหนีพร้อมกับครอบครัวของอาเหม็ดไปยังเขื่อนดารุนตาที่อยู่ใกล้เคียงจนมุมโดยเข้าใกล้หน่วยตาลีบัน ทั้งคู่เข้าปะทะกับพวกเขาในการดวลปืนที่ยืดเยื้อ ซึ่งจะจบลงเมื่อกระสุนหมด อย่างไรก็ตาม เฮลิคอปเตอร์ AC-130 และ Apache มาถึงและกวาดล้างผู้โจมตี ปาร์กเกอร์มาพร้อมกับกำลังเสริมเพิ่มเติม เขาประกาศว่าเขาจะสนับสนุนภารกิจของ Kinley อย่างสุดใจหากเขาไม่ปิดบังตัวตนของเขา พากลับไปที่บาแกรม ทั้งกลุ่มขึ้นเครื่องบินออกจากอัฟกานิสถาน ขณะที่ออกไป Kinley และ Ahmed พยักหน้าให้กัน บ่งบอกว่าได้รักษาพันธสัญญาแล้ว

ชื่อตอนจบของภาพยนตร์ระบุว่าหลังจากกลุ่มตอลิบานยึดอัฟกานิสถานคืนได้ ล่ามชาวอัฟกานิสถานกว่า 300 คนที่สังกัดกองทัพสหรัฐฯ ถูกสังหารโดยองค์กร และอีกหลายพันคนยังคงหลบซ่อนตัวอยู่มีการประกาศในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ว่าเจค จิลเลนฮาลได้รับเลือกให้แสดงในภาพยนตร์ที่ไม่มีชื่อ ซึ่งกำกับโดยกาย ริทชี่ และเขียนบทร่วมกับอีวาน แอตคินสันและมาร์น เดวีส์ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2565

เมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ พิกเจอร์ส (MGM) ได้ซื้อสิทธิ์การจัดจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาของภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีชื่อว่า The Interpreter โดยวางแผนที่จะจัดจำหน่ายผ่านทางบริษัทร่วมทุน United Artists Releasing (ซึ่ง Amazon ได้พับเป็น MGM เองในปี พ.ศ. 2566) ในขณะที่ STXfilms ร่วมทุนกับภาพยนตร์เรื่องนี้และจัดการการขายในต่างประเทศ Amazon Prime Video ได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายระหว่างประเทศบางส่วน เช่นเดียวกับสิทธิ์ในการสตรีมหลังการแสดงละครในสหรัฐอเมริกา

การถ่ายทำเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ในเมืองอาลิกันเต ประเทศสเปน โดยมีดาร์ ซาลิม, อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก, แอนโทนี สตาร์, เจสัน หว่อง, บ็อบบี สโคฟิลด์, ฌอน ซาการ์, คริสเตียน โอชัว และเอมิลี บีแชมร่วมแสดง สถานที่ถ่ายทำอื่นๆ ในสเปนต่อมา ได้แก่ Sax, Alicante, Alt Vinalopó / Alto Vinalopó, Villajoyosa และ Zaragoza
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ริทชี่เปิดเผยว่าได้เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก The Interpreter เป็น The Covenant แล้ว ต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า

The Covenant ของ Guy Ritchie ซึ่งมีรายงานว่าแตกต่างจากภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 2549 ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  เข้าฉายพร้อมกับ Evil Dead Rise, Chevalier และภาคขยายกว้างของ Beau is Fear และคาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 6 ล้านเหรียญจากโรงภาพยนตร์ 2,611 โรงในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินได้ 2.2 ล้านดอลลาร์ในวันแรก และเปิดตัวต่อไปที่ 6.3 ล้านดอลลาร์ จบอันดับที่สามรองจาก The Super Mario Bros. Movie และ Evil Dead Rise[16] ในสุดสัปดาห์ที่สอง ภาพยนตร์ทำเงินได้ 3.6 ล้านดอลลาร์ (ลดลง 43%) จบในอันดับที่เก้า

การตอบสนองที่สำคัญในเว็บไซต์รวบรวมบทวิจารณ์ Rotten Tomatoes บทวิจารณ์ 84% ของนักวิจารณ์ 112 คนอยู่ในเชิงบวก โดยมีคะแนนเฉลี่ย 6.8/10 ฉันทามติของเว็บไซต์อ่านว่า: “หนังระทึกขวัญสงครามที่แสดงได้น่าพอใจและมีความลึกที่น่าทึ่งอย่างน่าทึ่ง ของ Guy Ritchie บอกเล่าเรื่องราวที่หนักแน่นพร้อมความยับยั้งชั่งใจที่น่าประทับใจ” Metacritic ซึ่งใช้ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ 63 เต็ม 100 อ้างอิงจากนักวิจารณ์ 28 คน ซึ่งระบุว่า “บทวิจารณ์โดยทั่วไปเป็นที่ชื่นชอบ” ผู้ชมที่สำรวจโดย CinemaScore ให้เกรดเฉลี่ยของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ “A” ในระดับ A+ ถึง F ในขณะที่การสำรวจโดย PostTrak ให้คะแนนในเชิงบวก 92% โดย 77%

บอกว่าพวกเขาจะแนะนำจะเล่าเรื่องราวของนายทหารอเมริกัน จ่า จอห์น คินลี่ย์ กับ อาเหม็ด ล่ามชาวอัฟกานิสถาน โดยพวกเขาทำงานในการลาดตระเวนตามปกติ แต่จู่ ๆ กองทัพสหรัฐถูกกลุ่มตาลีบันเข้าโจมตี อาเหม็ดใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตจ่าจอห์น แต่ความจำเสื่อมจากการถูกตีหัว สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือ อาเหม็ด ผู้ช่วยชีวิตเขา ที่ยังคงอยู่ที่อัฟกานิสถานโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ

จ่าจอห์นที่จำอะไรไม่ได้ แต่กลับรู้สึกติดค้าง และคิดว่าเขากำลังพาครอบครัวผู้มีพระคุณอย่างอาเหม็ด เสี่ยงอันตรายในแดนสงคราม จ่าจอห์น จึงตัดสินใจพาตัวเอง กลับสู่สมรภูมิ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แต่ใจที่แน่วแน่ของจ่าจอห์น ทำให้เขาเลือกลุยเดี่ยวเพื่อพาอาเหม็ดและครอบครัว ลี้ภัยไปยังอเมริกาอย่างปลอดภัยตามที่เคยได้รับปากไว้ เดอะ โคเวแนนท์ เรื่องราวของ สิบเอก จอห์น คินลีย์ (แสดงโดย เจค จิลเลนฮาล) ทหารที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ครั้งสุดท้ายในอัฟกานิสถาน เขาได้ร่วมมือกับ อาเหม็ด (แสดงโดย ดาร์ ซาลิม) ล่ามในพื้นที่เพื่อออกลาดตระเวน

เมื่อหน่วยของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี จอห์นกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส

และรอดชีวิตมาได้ด้วยการช่วยเหลือของอาเหม็ด ที่ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตเขา จนทำให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าหมายที่ตาลีบันต้องการล่าตัวพูดถึงเรื่องราวของนายทหารอเมริกัน “จอห์นคินลี่ย์” กับ “อาเหม็ด”

ล่ามชาวอัฟกานิสถาน ที่ทำงานลาดตระเวนตามปกติ แต่แล้วก็มีกองทัพสหรัฐกลุ่มตาลีบันเข้าโจมตี “อาเหม็ด” ใช้ความพยายามที่สุดที่จะช่วยชีวิต “จ่าจอห์น” ทว่าเขาความจำเสื่อมไปและสิ่งที่จำได้คือ “อาเหม็ด” ช่วยชีวิต ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ แม้จะจำอะไรไม่ได้แต่ก็ยังรู้สึกติดค้าง จึงตัดสินใจกลับสมรภูมิรบ ท่ามกลางเสียงค่านของนายทหารที่มีอำนาจหลายคน

แต่ “จ่าจอห์น” ไม่ลดละ เลือกลุยเดี่ยวพา “อาเหม็ด” และครอบครัวลี้ภัยกลับมาอย่างปลอดภันตามที่เคยรับปาก สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ต้องไปติดตามกัน จะเล่าเรื่องราวของนายทหารอเมริกัน จ่า จอห์น คินลี่ย์ (เจค จิลเลฮาล) กับ “อาเหม็ด” ล่ามชาวอัฟกานิสถาน โดยพวกเขาทำงานในการลาดตระเวนตามปกติ แต่จู่ๆ กองทัพสหรัฐถูกกลุ่มตาลีบันเข้าโจมตี อาเหม็ดใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตจ่าจอห์น

The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์

แต่ความจำเสื่อมจากการถูกตีหัว สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือ “อาเหม็ด” ผู้ช่วยชีวิตเขา ที่ยังคงอยู่ที่อัฟกานิสถานโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จ่าจอห์นที่จำอะไรไม่ได้ แต่กลับรู้สึกติดค้าง และคิดว่าเขากำลังพาครอบครัวผู้มีพระคุณอย่างอาเหม็ด เสี่ยงอันตรายในแดนสงคราม จ่าจอห์น จึงตัดสินใจพาตัวเอง กลับสู่สมรภูมิ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ แต่ใจที่แน่วแน่ของจ่าจอห์น ทำให้เขาเลือก “ลุยเดี่ยว” เพื่อพาอาเหม็ดและครอบครัว ลี้ภัยไปยังอเมริกาอย่างปลอดภัยตามที่เคยได้รับปากไว้เป็นเรื่องที่น่าแปลก

ที่หนังของ Guy Ritchie เข้าพร้อมกันในสัปดาห์เดียวกัน และทั้งสองเรื่องก็เรียกได้ว่าแทบจะต่างแนวกันอย่างสิ้นเชิง โดยอีกเรื่องที่รีวิวไปก่อนหน้านี้อย่าง Operation Fortune ก็คือสไตล์ที่เจ้าตัวถนัด เน้นพล่ามบท มุกตลกหน้าตาย แอ็คชันบ้าง แบบเฮฮาไม่จริงจังนัก แต่ในขณะเดียวกันกับ  คือโคตรจริงจัง แบบที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อนในหนังเรื่องไหนของ Guy Ritchie คือถ้าไม่อ่านหรือเขียนโต้ง ๆ ว่า Guy Ritchie คือดูไม่รู้เลยว่าเป็นงานของเขา

The Covenant บอกเล่าเรื่องราวของจ่า John Kinley (Jake Gyllenhaal) ทหารที่ประจำการอยู่ที่อัฟกานิสถาน และล่ามชาวอัฟกันอย่าง Ahmed (Dar Salim) ที่ทั้งคู่เคยฝ่าฟันหนีเอาชีวิตรอดจากพวกตาลีบัน และเป็นล่ามคนนี้แหละที่ทำให้ John รอดชีวิตกลับไปหาครอบครัว ในขณะที่ Ahmed ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ นั่นทำให้ John ต้องหาทางไปพาหนี้ชีวิตกลับออกมาอย่างปลอดภัยอีกครั้ง

เอาจริง ๆ ตัวอย่างก็แทบจะเล่าทั้งเรื่องของหนังเรื่องนี้ แต่เหมือนมันจะชูประเด็นผิดไปสักหน่อย คือจากตัวอย่างพาลให้คนดูเข้าใจว่าหนังชูภารกิจการเข้าไปช่วยเหลือ Ahmed ด้วยตัวคนเดียวของ John แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นช่วงบทสรุปที่รวบรัดและรวดเร็วที่สุดของเรื่องราว แต่สิ่งที่โดดเด่นจริง ๆ คือเรื่องราวก่อนนั้น ตั้งแต่การที่ John ร่วมงานกับ Ahmed, การฝ่าฟันเอาชีวิตรอดของทั้งคู่, การที่ Ahmed ช่วยชีวิต John ที่สติเลือนลาง นั่นแหละคือส่วนที่ยอดเยี่ยมและน่าชื่นชมที่สุดของหนังเรื่องนี้

หนังมีบทที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ชัดเจน โดยอิงมาจากเหตุุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของทหารอเมริกันที่ประจำอยู่ในอัฟกานิสถาน ที่ต้องจ้างล่ามท้องถิ่นมาทำงานให้โดยมีข้อเสนอแลกกับวีซ่า แต่นั่นทำให้ล่ามหลายคนต้องเดือดร้อน จนบางคนถึงกับต้องเสียทั้งครอบครัวและชีวิตตนเอง หนังเอาประเด็นเรื่องนี้มาเล่น และไม่หลุดประเด็นไปไหน ถึงแม้จะไม่ได้ลึกซึ้ง หรือทำให้อินจนน้ำตาไหล แต่วิธีการดำเนินเรื่องและสารของเรื่องราวก็มากพอที่จะส่งผลให้คนดูตระหนัก รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และยังส่งผลให้เราร่วมเอาใจช่วยตัวละครผ่านวิบากกรรมในเรื่องอีกด้วย

อย่างที่ได้บอกไปว่าจุดดีงามทั้งหมดของเรื่องราวมันอยู่ที่ช่วงก่อนบทสรุป เราจะได้เห็นบทพูดเฉียบ ๆ ระหว่าง John กับ Ahmed ตอนร่วมงานกัน ได้เห็นแอ็คชันยาว ๆ ที่ไม่ได้มากไป น้อยไป แต่มากพอที่จะให้ตื่นเต้น เพลิดเพลิน และเอาใจช่วย เสียง sfx เวลายิงกันทำได้ดีเลย

ได้เห็นการฝ่าวิบากกรรมของตัวละคร ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องชมการแสดงมาก ๆ ทั้งฝั่ง Jake Gyllenhaal ที่รับผิดชอบบทที่ตัวเองได้รับดีมาก ๆ บทอารมณ์ก็เอาอยู่ แอ็คชันท่าทางการเป็นทหารก็เท่ไม่หยอก แต่ที่โดดเด่นจริง ๆ คือการแสดงของ Dar Salim ทั้งสีหน้า ท่าทาง การแสดง แอ็คชัน ดราม่า ทำได้หมด เอาอยู่ทุกซีน เอาจริง ๆ โดยส่วนตัวคือเด่นกว่า Gyllenhaal ด้วยซ้ำ ไร้ที่ติมาก ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้หนังขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยสองการแสดงของเขาจริง ๆ

แต่จุดที่น่าเสียดายคือเรื่องราวหลังจากที่ได้กล่าวไป นอกจากบทมันจะมีความไม่สมเหตุสมผลบ้างในบางจุด หลัก ๆ คือมันเบาลงอย่างเห็นได้ชัด มันมีการบอกเล่าเสียเวลานานไปโดยมันสามารถทำให้เข้าใจง่ายกว่านี้ได้ในช่วงที่ John ปลอดภัยกลับประเทศแล้ว ถึงแม้จะเป็นพื้นที่ซีนอารมณ์ให้ Jake Gyllenhaal ได้โชว์ซีนดราม่า แต่มันก็น่าจะเล่าให้สั้นกว่านี้ได้ และที่น่าเสียดายที่สุดคือช่วงท้าย กับภารกิจการไปช่วยเหลือ

Ahmed เพราะในขณะที่ช่วงแรกมันค่อยไปค่อยไป ช่วงหลังกลับเร่งรีบจนทุกอย่างมันดูง่ายดายไปเสียหมด คือถ้าช่วงหลังยัดอุปสรรคเยอะ ๆ เหมือนช่วงแรก ให้เห็นความยากลำบากเหมือนช่วงแรกมันจะดีกว่านี้มาก ๆ นี่ความยาว 2 ชั่วโมง ถ้ายืดออกไปอีกสักครึ่งชั่วโมงแล้วบาลานซ์ส่วนนี้ของหนังออกมาให้เหมือนช่วงแรกได้ มันจะดีมาก ๆ เลยทีเดียว นับว่าเป็นจุดที่น่าเสียดายใช่เล่น และอีกนิดนึงเรื่องประเด็นครอบครัวของ John ก็น่าจะหาบทสรุปให้สักนิดก็น่าจะดี

สรุปแล้วในภาพรวม The Covenant เป็นหนังอีกเรื่องอีกแนวอีกรสชาติของ Guy Ritchie ที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย ทั้งการดำเนินเรื่อง วิธีการเล่า บทที่ตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่เล่นท่ายาก แอ็คชันก็เพลิดเพลิน ไม่มากไม่น้อยไป ผ่านการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Jake Gyllenhaal และ Dar Salim ถือว่าเป็นหนังแอ็คชัน ดราม่า ที่ดีเรื่องนึงเลย

ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Covenant (2023) เดอะ โคเวแนนท์ หนังประเภท หนัง War สงคราม เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 Moviehd3 ดูหนังบนมือถือ Android iOS

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

The Jester (2023)
หนังฝรั่ง ซาวแทร็ค
หนัง

4

Chaari 111 (2024)
หนังเอเชีย ซับไทย
หนัง

5

ดูหนังออนไลน์ 2023

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่