Speak No Evil (2024) เงียบซ่อนตาย
เรื่องย่อ
ครอบครัวหนึ่งถูกเชิญไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่บ้านแถบชนบทหลังหนึ่ง ก่อนที่จะพบว่าวันหยุดในฝันจะกลายมาเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนจิตใจ
ผู้กำกับ
James Watkins
บริษัท ค่ายหนัง
- Blumhouse Productions
นักแสดง
- Mackenzie Davis
- Scoot McNairy
- Alix West Lefler
- Dan Hough
- James McAvoy
- Aisling Franciosi
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
Movie FF: Friend and Fun
Movie FF | Now Showing / Review 🤫 🩸 🫀
Speak No Evil (เงียบซ่อนตาย) (2024) | 8/10
เป็นรีเมกจากปี 2022 ที่ปรุงแต่งได้เสียวระทึกสะใจยิ่งขึ้น! โครงเรื่อง 80% ดังเดิมแต่ออกรสออกชาติชวนหวีดกว่า! ยิ่งช่วงท้ายที่เหลือคือสุดขีดมากกก!!
Speak No Evil หนังแนวไซโค-ธริลเลอร์/ระทึกขวัญ ที่รีเมกมาจากต้นฉบับของทางยุโรป (เดนมาร์ก) เวอร์ชั่นนี้เขียนบทและกำกับโดย James Watkins (จากผลงาน Eden Lake, The Descent Part 2 และ The Woman in Black) ที่เรื่องราวความสะพรึงจะเล่าถึง เมื่อครอบครัวเล็กๆ ชาวอเมริกัน (3 พ่อแม่ลูก) ได้รับเชิญจากครอบครัวชาวอังกฤษ (3 พ่อแม่ลูกเช่นกัน) ให้ไปเยือนบ้านไร่แถบชนบทอันงดงามของพวกเขา — ซึ่งแรกเริ่มครอบครัวชาวอังกฤษนี้คือครอบครัวที่มีเสน่ห์ น่ารัก ใจดี พวกเขาจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว .. แต่ทว่า เรื่องราวที่เหมือนการพักผ่อนวันหยุดในฝันนี้ กลับแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายทางจิตวิทยา สู่ความระทึกสุดขีดคลั่งถึงชีวิต!!
ส่วนตัวเจ๊อาจต้องขอเท้าความไปกล่าวถึงเวอร์ชั่น Original 2022 ของเดนมาร์กก่อน ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง ส่วนตัวแล้วต้องบอกว่า ‘ไม่ชอบ’ ฉบับนั้นสักเท่าไร เนื่องด้วยความที่มันเรียบเกินไป นิ่งเกินไปในทุกอย่าง ตามสไตล์หนังยุโรป ผสมกับตอนจบช่วงจุดไคลแมกซ์ที่หลายๆ คนบอกชวนช็อก! อ้าปากค้าง! หดหู่หนัก! แต่เอาจริงๆ ส่วนตัวเจ๊ผู้ซึ่งเป็นคอหนังโหด เคยผ่านมากับหนังที่ยิ่งกว่าจุดจบของเรื่องนั้นมาเยอะ เลยรู้สึกว่าฉบับนั้นแผ่วเบาไปมาก เฉยมากๆ ไม่อะไรขนาดนั้นแบบกระแสที่พูดกัน .. จวบจนการรีเมกฉบับนี้มาถึง เลยต้องลองสักหน่อยว่ามันจะเหมือนกันไหม หรือแก้มือ แก้เส้นเรื่องที่ราบเรียบนิ่งแบบนั้นให้ไปในทิศทางใหม่ได้หรือไม่?! อย่างไร?!
ซึ่งผลปรากฏว่า Speak No Evil (2024) ฉบับ Hollywood นี้ กลายเป็นฉบับที่ชอบแบบเซอร์ไพรส์เฉยเลย และชอบกว่าต้นฉบับมากๆ แต่ที่ยังคงเห็นได้ชัด โครงเรื่องหลักๆ 80% ยังคงดังเดิม ตั้งแต่แรกจนถึง 20 นาทีท้ายเลย สถานการณ์หลักๆ ที่ตัวละคร 3 พ่อแม่ลูกที่พบเจอยังแทบครบถ้วน แต่มันก็สามารถปรับบริบทให้เป็นสากล ให้เป็นความฮอลลีวู๊ดมากขึ้น ถึงเทสต์ถึงอารมณ์คนดูมากขึ้นกว่าฟีลความเป็นหนังยุโรปเยือกเย็นๆ (จนเกือบชืด) แบบฉบับเก่าได้ชวนออกรสออกชาติมากกว่า
และนี่เอง เซอร์ไพรส์หลักที่แท้จริงของฉบับนี้ คือช่วง 20% ที่เหลือในจุดสุดท้ายไคลแมกซ์ของเรื่อง ฉบับนี้มาเหนือด้วยการหักล้มจากฉบับเก่าหน้ามือเป็นหลังมือ จากความกดดัน ชวนอึดอัด ชวนเยือกเย็นในจิตใจที่เคยมีมาจากฉบับก่อน กลายเป็นปรุงแต่งให้ออกมาได้อย่างเสียวระทึก สะใจยิ่งขึ้น! ด้วยการเป็นหนัง Thriller หนีตาย ไล่ล่า แมวจับหนูในบ้านเต็มสูบ ลุ้นระทึกแบบต้องนั่งเหน็บเยี่ยวเหนียวมากๆ มาพร้อมกับการเสิร์ฟซีนที่ทำให้เราคนดูต้องเชียร์กันลั่นในโรงอย่างกะดูมวย ตื่นเต้น เร้าใจ สะใจแบบสุดขีดมากกก!!
เจ๊สรุปสั้นๆ เลยสำหรับฉบับนี้ มันเป็น Speak No Evil ในแบบที่เซอร์ไพรส์กว่า! ช็อกกว่า! สุดขีดคลั่งกว่า! ชวนหวีดกว่า! และไม่ซ้ำเดิม ส่วนตัวที่เจ๊ค่อนไปทางผิดหวังกับฉบับ Original กลายเป็นฉบับรีเมก 2024 นี้ คือมันทำให้เจ๊ชอบกว่า Original เยอะมากๆ ได้แบบพลิกคาดเลย และมีทีท่าที่จะติดลิสต์เจ๊ พร้อมกับอยากดูซ้ำเลย ชอบมากๆ ไปดูเลยค่ะ!
ป.ล. ป๋า James McAvoy เล่นโคตรดีสัส ดีฉิบหาย น่ากลัวแบบทุกซีนถึงแม้ว่าเรื่องนี้ซีนนั้นแกจะยิ้มอยู่ก็ตาม แต่สายตาและทุกอิริยาบทของแกคือโคตรน่ากลัวและจิตสุดดด!! ยอมใจการแสดงของแกสุดดด!!
เรทคะแนน 8/10
EMistique
[CR] No.121 Speak No Evil (2024) : มารยาทหลอน ซ่อนวาจา (หล่าว)
– โดยรวมชอบ ถึงจะชอบต้นฉบับมากกว่าตรงที่มันสามารถสร้างคุณงามความดีย์ในเรื่องความหงุดหงิดในความสยองได้หน้าตาเฉยจนเป็นที่กล่าวขานมาแล้วว่าต้องหัวร้อน แน่นอนว่าขณะดูจึงเกิดการเปรียบเทียบระหว่าง 2 เวอร์ชั่นกัน Shot ต่อ Shot ไม่ได้อีกเช่นกัน จากที่ประมวลมามีความรู้สึกเดียวกับตอนดู Confession (2022) หนังเกาหลีที่ Remake มาจาก The Invisible Guest (2016) อีกทียังไงยังงั้น แม้ทราบแก่ใจว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ? แต่เชื่อได้ว่าผู้กำกับ James Watkins คงไม่ Copy แล้ว Paste มาทั้งดุ้นหรอก คือ ขนาดกูดูเองก็ยังรู้สึกหงุดหงิดไม่ต่างจากพวกเลยว่า คนอะไรจะซื่อบื้อขนาดนั้น ? เพื่อนพูดอะไร ? สั่งอะไร ? ก็เอาแต่ได้ครับพี่ ดีครับท่าน เหมาะสมครับเพื่อน โดยไม่หือ ไม่อือ สักแอ๊ะ แล้วปล่อยให้เพื่อนทำตามอัธยาศัย ซึ่งมันผิดวิสัยทัศน์คนปกติหรือเปล่าวะ ? กูเลยทนไม่ไหวขอซื้อบทต่อแล้วเอามา Adapt ให้เข้ากับสไตล์กูเองซะเลย ถ้าไม่เชื่อดูได้จาก Eden (2008) เป็นตัวอย่าง
– ภาพรวมตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 50 นาทีที่มากกว่าต้นฉบับรู้สึกชัดแจ้งว่าดูง่ายขึ้น เพราะ ได้นักแสดงนำอย่างพี่ James มาเป้นตัวชูด้วยรวมถึงมีการใส่ความเป็น Thriller ที่ควรจะเป็นเข้าไปเพื่อเอาใจคนชอบเสพความรุนแรงทางกายภาพหรืออัดอั้นจากต้นฉบับซะเหลือเกินแถมการตัดต่อก็ตัดได้เร็วขึ้นเพื่อไม่ต้องนั่งแช่ดูบรรยากาศเดิม ๆ ไปนาน ๆ ส่วนทีเหลือก็ยังคงยึดตามต้นฉบับอยู่ไม่ว่าตัวบท , ประเด็น หรือความหงุดหงิด ที่แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันจำเป็นต่อการขับเคลื่อนให้ประเด็นของเรื่องที่ผูกกับบทก็ดีหรือปมกระทั่งตุ๊กตาเจ้าปัญหาอีกตัวก็ตามมัน Run ต่อไปนั่นเอง
– พอมาถึงบ้าน 2 สามีภรรยาชาวอังกฤษตัวหนังก็ยังคงความเนิบนาบผ่านบรรยากาศแวดล้อมที่ปกคลุมด้วยป่าเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลายเหมือนกับต้นฉบับ ขณะดูไปภาพจำของต้นฉบับทับซ้อนเข้ามาให้เกิดความเอะใจขึ้นมาแต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือมีการใส่ปมส่วนตัวเข้ามาเพิ่มเติม เช่น ปมของฝั่ง 2 สามีภรรยาชาวอเมริกันเกี่ยวกับมือที่ 3 หรือฝั่ง 2 สามีภรรยาชาวอังกฤษที่เริ่มมีชิ้นมีอันมากขึ้น กระทั่ง Highlight เด็ดอย่าง ลูกชาย ของ 2 สามีภรรยาชาวอังกฤษที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเช่นกันเพื่อทำให้ตัวละครมีเหตุมีผลขึ้นว่าทำไปเพื่ออะไร ? ถึงไม่ได้เจาะจงลง Details ไปด้วยการขยายเป็น Flashback ประกอบการอ้างอิงแต่อย่างน้อยการบอกให้รู้ก็ช่วยทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่ทำไปได้ระดับนึง
– หลังจากที่ผู้กำกับพยายามเก็บทรงมานานตามใจต้นฉบับมาพอแล้ว ช่วงเวลาที่เหลือท้าย ๆ กูว่าสมควรแก่เวลาแล้วเลยทำยการเปลี่ยนหน้าตักเดิมให้กลายเป็นงาน Thriller ตามสไตล์ค่าย Blumhouse เต็มสูบ ถามว่าดีมั้ย ? ก็ดีแต่มันตรงสูตรสำเร็จรูปไปจนรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรค้างคาใจหรือเก็บไปคิดต่อหลังจากดูจบแถมความกดดันหรือความโหดที่อุตส่าห์หวังไว้ยังทำได้ไม่สุดเท่าที่ควรจะทำต่ออีกสักนิดจนอีกใจก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำทรงขึงขังอยู่เลย
– ตัวตึงของเรื่องที่เราเห็นจาก Poster อย่างพี่ James McAvoy ยังสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ดีเช่นเคย ถึงเราจะเคยสัมผัสความคลั่งที่แกก่อไว้ถึง 23 บุคลิกจนเหวอมาแล้วจาก Sprit (2016) พอดูเรื่องนี้เหมือนกับนั่งดูภาคต่อในอีก Multiverse หนึ่งที่คราวนี้มีลูกมืออย่างเจ๊ Aisling Franciosi ที่รู้จักมาตั้งแต่ The Nightingale (2018) และล่าสุดที่ดูไปอย่าง Stopmotion (2023) มาช่วยอีกแรง ซึ่งดูไปเธอเหมาะกับบทแบบนี้เหมือนกันด้วยความที่หน้าตาไปทางนั้นด้วยแถมเคมีเข้าขากับพี่ James เป็นอย่างมาก ส่วนคู่รักมารยาทงามอย่าง Mckenzie Davies กับ Scoot Mcnairy ถึงยังคงนิสัยตามต้นฉบับแทบทุกอิริยาบถจนอดที่จะอึดอัดและหงุดหงิดไม่ได้อีกแล้วแต่พอมีปมส่วนตัวที่ใส่เข้ามาเพิ่มเติมหรือการเปลี่ยน way ไปอีกทางยิ่งรู้สึกเอาใจช่วยด้วยอีกแรงว่ามันต้องอย่างนี้สิวะ
– ถึงพอใจที่มาใน way นี้ในขณะเดียวกันความกดดันที่ต้นฉบับทำไว้อย่างเลือดเย็นกลับหายเป็นปลิดทิ้งแถมการตัดต่อมีส่วนทำให้เรื่องไม่ Smooth เท่าที่ควร เห็นได้ชัดจากช่วงแรก ๆ ฉากนี้กำลังทำความรู้จักไปได้ไม่กี่นาทีก็ตัดข้ามไปอีกฉากอย่างไวเฉยเลยเกิดคำถามตามมาว่าทำไมพวกจึงสนิทกันไวขนาดนี้ ? แม้กระทั่ง Keywords สำคัญที่พี่ James พูดต่อหน้า 2 สามีภรรยาชาวอเมริกันในช่วงเปิดสันดานเต็มระบบก็ไม่ได้คมหรือขนลุกเท่ากับต้นฉบับ ภาพรวมมันจึงกลายเป็นหนัง Remake ที่ขายความเป็น Thriller ทั่วไปมากกว่าจะขายเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน ซึ่งมันยากที่จะทำให้ได้เหมือนทุกอย่างเข้าใจได้ไม่ว่ากัน แต่ถึงประเด็นไม่ลึกเท่าแต่เวอร์ชั่นนี้ก็ขยายความจากเดิมให้เห็นภาพชัดขึ้นว่ามารยาทก็สำคัญแต่ที่สำคัญกว่าการมีสติรู้จัก (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ) แล้วจะรู้ทันคนต่อให้พูดจาสุภาพก็เถอะ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EMistique เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ดูหนัง ออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Speak No Evil (2022) พักร้อนซ่อนตาย
Blink Twice (2024) บลิงก์ ทไวซ์ ซิกอันตราย
The Strangers Chapter 1 (2024) เดอะ สเตรนเจอร์ส อำมหิตฆ่าไม่สน
8.3