KUBHD ดูหนังออนไลน์ Oz The Great And Powerful (2013) มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
เรื่องย่อ
Oz The Great And Powerful (2013) มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ การผจญภัยของ นักมายากลหนุ่ม ในดินแดนมหัศจรรย์ก่อนที่เขาจะกลายเป็น พ่อมดแห่งออซ ผู้ยิ่งใหญ่ ออสการ์ ดิกส์ (เจมส์ ฟรังโก้) นักมายากลหนุ่มประจำคณะละครสัตว์ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ถูกพัดพาจากแคนซัส ไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งออซ ที่ที่ทำให้เขามีพร้อมทั้งชื่อเสียงและความมั่งคั่ง จนกระทั่งเขาได้พบกับแม่มดทั้งสาม ธีโอดอร่า (มิล่า คูนิส), อีวานอร่า (เรเชล ไวซ์) และ กลินด้า (มิเชลล์ วิลเลี่ยมส์) ที่ไม่เชื่อว่าเขาคือพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ที่ใคร ๆ รอคอยอยู่ ความวุ่นวาย ครั้งยิ่งใหญ่จำเกิดขึ้นในดินแดนแห่งออซ เขาต้องหาให้ได้ว่าใครดี ใครร้าย ก่อนที่จะสายเกินไป โดยใช้ศาสตร์แห่งมายากล, ภาพลวงตา และสิ่งประดิษฐ์ รวมถึงเวทมนตร์ เล็ก ๆ น้อย ๆ
ผู้กำกับ
แซม ไรมี
บริษัท ค่ายหนัง
- วอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์
- รอธฟิล์มส์
นักแสดง
- เจมส์ แฟรนโก
- มีลา คูนิส
- เรเชล ไวสซ์
- มิเชล วิลเลียมส์
- แซค บราฟ
- บิล คอบส์
- โจอี คิง
- โทนี ค็อกซ์
โปสเตอร์หนัง
รีวิวหนัง
N.p. ไม่เผยนาม
ดูหนัง ออนไลน์ Oz The Great And Powerful (2013) มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
คมนิด จี๊ดเลย : ที่สุดของความยิ่งใหญ่ คือความดีในตัวเรา
Napat’s Rating : (B) , 8 /10
– คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น –
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : สำหรับออซ ไม่ต้องห่วงเลยว่าเรื่องนี้เราจะได้พบกับความแฟนตาซีจ๋าๆแน่ ตั้งแต่เห็นโลโก้และตัวอย่าง พอเดาออกไม่ยากว่าจะได้เห็นภาพของหนังแฟนตาซีสีลูกกวาดอีกเรื่องที่จะได้ชมอย่างเต็มตาทั้งเรื่อง (ดูเผินๆอาจนึกว่าเป็น Alice in the wonderland 2ก็เป็นได้) แต่ทีเด็ดของหนังเรื่องนี้นอกจากว่ามันได้มาจากวรรณกรรมและเคยเป็นหนังในตำนานเมื่อนานมาแล้ว ผู้ที่เอามาปัดฝุ่นทำใหม่นั้นยังเป็นผู้กำกับหนังชื่อดังอย่าง “แซม ไรมี่” ผู้ที่เคยปลุกปั้นสไปเดอร์แมนไตรภาคแรกเมื่อหลายปีก่อนมาแล้วนั่นเอง
การกลับมาปัดฝุ่นหนังในครั้งนี้ ผู้กำกับไรมี่ ได้นำเทคนิคการเล่นกับภาพมาใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากๆ เริ่มตั้งแต่การนำเทคนิคถ่ายภาพแบบภาพสามมิติมาใช้ในหนังสีลูกกวาดเรื่องนี้ และเล่นกับวิชวลต่างๆได้ดี ดังนั้นตีตั๋วมาดูเรื่องนี้สิ่งแรกที่จะได้รับคือภาพสวยๆในวิชวลของคนที่เจ๋ง ทำให้มันออกมาอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่ตอนแรกของหนังที่เปิดมาก็ยังใช้ลูกเล่นภาพขาวดำในสัดส่วนของฟิล์มรุ่นเก่าทำให้ภาพมีขนาดครึ่งเดียวของหน้าจอทั้งหมด ซึ่งภาพสามมิติยังเล่นกับคนดูด้วยการที่มีอะไรทะลุจออกมาจากสัดส่วนภาพที่กำลังฉายอยู่ออกมาโดยที่เราไม่ตั้งตัวหลายทีมาก แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะถูกขยายออกเมื่อพระเอกได้เดินทางไปยังอีกโลก แต่เทคนิคสามมิติเรื่องนี้ก็ยังทำให้เราเพลินได้สมราคาตั๋วจริงๆ ขอบอกตั้งแต่ต้นเลยว่าถ้าจะตีตั๋ว ควรจัดแบบสามมิติจะเติมเต็มอรรถรสในการชมมากกว่าปกติเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้หนังยังพ่วงคำว่า The Great and Powerful เข้ามาในชื่อเรื่องด้วย ซึ่งทีแรกตอนเห็นรู้ยังรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าจะได้ชมตัวอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า อะไรมันจะสำคัญนักหนาเนี่ย จะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเชียวน่ะออซ แต่สุดท้ายพอได้ชม ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่า นี่แหละคือหัวใจของเรื่องที่อยู่ในสายเลือดของออซเขาจริงๆ
[[หลังจากนี้มีสปอยส์เล็กน้อย แต่ก็ยังพออ่านได้แบบไม่เสียอรรถรสในการชมหนังนะครับ]]
หนังได้กล่าวถึงออสการ์ นักมายากลตกอับคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ (รับบทโดย เจมส์ ฟรังโก้ อดีตคู่หูคู่ปรับของสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นแซม ไรมี่) แต่ทุกอย่างเหมือนจะบันดาลใจให้เขาเมื่อมีเหตุที่ต้องหลุดลอยไปยังโลกดินแดนลี้ลับที่มีชื่อว่าออซเหมือนกับเขา และทุกคนเชื่อว่าเขาคือพ่อมดที่จะเป็นความหวังของอาณาจักรชาวออซเฝ้ารอคอย
ในช่วงแรกเริ่มออซได้พยายามแสวงหาความยิ่งใหญ่ของตนเองด้วยการหลอกใครก็ตามว่าเขาคือพ่อมด เพราะเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่จะปูทางให้เขาไปสู่ความเป็น The Great and Powerful ที่เขาต้องการ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความจริงก็ตาม และด้วยความที่หลวมตัวเองมาแบบนี้เลยได้รับภารกิจที่จะต้องล่าแม่มดตัวร้ายแห่งอาณาจักรมาด้วย เขาจะพิสูจน์ตนเองอย่างไรนั้น อยากให้ไปชมกันในโรงเอาเอง
แต่ด้วยเนื้อเรื่องของหนังถือว่าเป็นหนังที่มีคติสอนใจคนได้ดีอีกเรื่องเลยทีเดียว เพราะออซก็จะได้เรียนรู้ว่าการหลอกลวงที่เขาทำอยู่ จริงๆแล้วมันคือความอุปโลกน์แสวงหาความยิ่งใหญ่ให้ตัวเขาเอง แต่ถ้าสิ่งที่เขาต้องการ มันต้องแลกมาด้วยความหวังและความศรัทธาที่ชาวเมืองแห่งออซได้มอบให้ เขาจะเลือกที่จะกอบโกยผลแห่งอำนาจเหล่านั้นเพื่อตัวเขาเองอย่างเดียวจริงหรือ หรือโชคชะตาบางอย่างจะนำพาให้เขาได้พบกับการแสวงหา “ความยิ่งใหญ่”มาได้อย่างถูกวิธี นั่นคือการมีจิตสำนึกภายใต้ความดี ความรัก และความสามัคคี ที่จะกอบกู้สิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง” ที่หายไปของชาวออซกลับคืนมา
แม้ว่าเนื้อเรื่องช่วงแรกผมคิดว่ายังแผ่วๆ ไม่ตื่นเต้นเท่ากับแจ๊ค ผู้สยบยักษ์ที่ฉายไปก่อนหน้า แต่ในช่วงหลังของเรื่องนี้นับว่าผุ้กำกับไรมี่ สามารถคุมจังหวะโทนและอารมณ์ของคนดูอยู่ได้มากกว่าจริง หนังที่ดูเผินๆอาจมาดูเอาภาพและวิชชั่นเพลินๆ ก็ยังมีเนื้อเรื่องและประโยคดีๆที่น่าจดจำ แถมยังมีการคารวะความเป็นภาพยนตร์อย่างเจ้าพ่อโทมัส เอดิสัน ผู้ให้กำเนิดหลอดไฟรวมถึงสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์คนแรกอีกด้วย ถือว่าทำได้ดีมาก มันทำให้ผมเหวอและสนุกได้อย่างเต็มที่กับฉากนั้น และเชื่อว่าเพื่อนๆต้องชอบเช่นกัน
ครั้งนี้แดนนี่ เอล์ฟแมน ได้มาทำดนตรีให้กับผู้กำกับไรมี่อีกครั้งหลังจากทะเลาะกันไปจนงอนกันไปเกือบสิบปี ก้กลับมาคืนดีกัน ทว่าสกอร์ของเรื่องนี้เอล์ฟแมนทำได้ดีในระดับมาตรฐาน ไม่ถึงกับโดดเด่นจนน่าจดจำ และก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร (แต่ส่วนตัวผมชอบดนตรีของแดนนี่ เอลฟ์แมนในหนังทิม เบอร์ตันทุกเรื่อง เพราะมีธีมที่น่าจดจำและมีจังหวะที่จับใจ และเอล์ฟแมนเป็นคนทำดนตรีอีกคนที่มีงานดนตรีในหนังที่ผมรักที่สุดอีกเรื่องนั่นคือ Real Steel เป็นงานดนตรีที่ผมยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซของเอล์ฟแมนและเป็นหนึ่งในสกอร์ที่ยอดเยี่ยมลงตัวที่สุดอีกชิ้นในงานภาพยนตร์)
เจมส์ ฟรังโก้กับบทพระเอกที่มามาดเยอะๆ แกก็เหมาะกับบทดี แม้ว่าการแสดงในเรื่องนี้ เจมส์เล่นใหญ่มาก แถมยังได้ตัวร้ายแม่มดมีการแต่งหน้าจัดๆแย่งชิงอำนาจก็เหมือนลิเกละครช่องเจ็ดได้เหมือนกัน แต่รสนิยมเมืองนอกเขาก็ต้องใส่ความไฮโซลงไปหน่อยในความเป็นภาพยนตร์ให้มันดูไม่น่าเกลียด
คิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเพราะเนื้อหาที่ค่อนข้างตลาดเข้าถึงคนดูตั้งแต่วัยเด็กยันผู้ใหญ่ แถมยังมีข้อคิดดีๆที่ทำให้ได้จรรโลงใจหลังจากดูหนังจบ ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวครับ และถ้าดูแบบสามมิติย้ำอีกครั้งว่าจะทำให้ฟินกว่าเดิมแน่ๆ ผมคิดว่าดีครับที่หนังมันต้องให้อะไรคนดูมากกว่าคำว่าสนุกและเพลิดเพลินอย่างเดียว เพราะในฐานะที่หนังเป็นอีกสื่อหนึ่งที่ผู้เสพจะสามารถรับสิ่งที่หนังเสนอไปอย่างเต็มๆ การที่หนังมีสารที่ดีและสร้างจิตสำนึกที่ดีแบบไม่ยัดเยียนสั่งสอนจนเกินไป น่าจะทำให้ยกระดับจิตใจคนดูให้สูงขึ้นไปขณะที่เสพงานศิลปะที่สวยงามอย่างนี้ด้วยครับ และถ้ามีโอกาสเรายังอยากกลับไปเที่ยวในออซอีกนะ ขอบคุณที่มอบความทรงจำที่สวยงามให้แก่กัน
ปล.สุดท้ายขอฝากหนังตัวอย่างทีเซอร์ “หนังซอมบี้” ผลงานเรื่องใหม่ของผมไว้ด้วยนะคร้าบ
เซียวเล้ง
[CR] [Review] Oz The Great And Powerful (2013) มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ – ถึงไม่มีโดโรธี แต่แค่แม่มดก็คุ้มแล้ว
Oz: The Great and Powerful คือผลงานเรื่องล่าสุดของ Sam Raimi ที่สร้างต่อเติมจากเรื่อง The Wonderful Wizard of Oz วรรณกรรมเยาวนชื่อดังของอเมริกา และเคยนำมาสร้างเป็นหนังเพลงเมื่อปี ค.ศ. 1939 ภายใต้ชื่อ The Wizard of Oz และถูกยกให้เป็นหนึ่งในหนังคลาสสิกเรื่องหนึ่ง รวมถึงยังเป็นต้นกำเนิดเพลง Over the Rainbow อันโด่งดังเลย แต่ถ้าเราไม่เคยรู้จักหรือสนใจ The Wizard of Oz มาก่อน จะมีปัญหาในการชม Oz: The Great and Powerful หรือป่าว บอกได้เลยว่า “ไม่” เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นใหม่โดยอาศัยช่องว่างและวัตถุดิบจากเรื่องเดิม อีกทั้งตัวเนื้อเรื่องเองยังเกิดก่อน The Wizard of Oz ด้วย เพียงแต่ใครที่เคยดูเรื่องก่อนมาก็อาจรู้สึกเข้าถึงเรื่องนี้มากขึ้น เพราะมีหลายฉากหลายองค์ประกอบที่ชวนให้รำลึกความหลังไม่น้อย
Oz: The Great and Powerful อาจไม่ต่างจากหนังแนวแฟนตาซีผจญภัยเรื่องอื่นมากนัก เพราะโดยหลักก็ยังเน้นการขายงานสร้างและจินตนาการ ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ขนาดดูระบบดิจิตอล ความสวยงามของภาพยังจับตามากๆ คิดว่าถ้าเป็น 3D คงเป็นอีกเรื่องที่ทำออกมาได้สุดยอดแน่ๆ หนังยังมีความเป็นหนังครอบครัวที่ดูกันได้ทุกเพศทุกวัย ฉากต่อสู้ต่างๆ ทำออกมาได้อย่างสวยงามและไม่ดูรุนแรงเกินไป ขณะเดียวกันการดึงดาราดังๆ มาเล่นก็ช่วยดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้นที่ปกติอาจไม่ถูกกับหนังแนวนี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความสวยงามด้านภาพ Oz: The Great and Powerful มีดีมากกว่านั้น การเลือกเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อมด Oz ทำให้เรื่องดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตัวเอกในหนังแนวเทพนิยายส่วนใหญ่มักจะเป็นคนดีมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่กับพ่อมด Oz เราคงไม่สามารถใช้คำนั้นได้ ในโลกปกติ Oz คือนักมายากลมือฉมังที่ใช้ชีวิตอยู่กับการหลอกลวง โป้ปด เห็นแก่ตัว และละโมบโลภมาก แม้กระทั่งเมื่อบอลลูนพัดเขามาที่ดินแดนมหัศจรรย์ก็ยังไม่วายไปหลอกเขาอีกว่าตัวเองเป็นพ่อมด แต่ในความไม่ดีของตัวละครนี่เอง ตัวหนังค่อยๆ เผยให้เห็นด้านที่ดีของ Oz มากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังห่างไกลจากความดีตามแบบบรรดาพระเอกในเทพนิยายเรื่องอื่นๆ ก็ตาม หนังยังให้แง่คิดในการเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” ที่แท้จริง ซึ่งไม่ได้สำคัญอยู่ที่ตัวเราจะรู้สึกว่าตัวเอง “ยิ่งใหญ่” หรือไม่ ไม่ได้สำคัญที่การมีชื่อเสียงหรือเงินทอง แต่สำคัญที่ในแง่มุมของคน (และไม่ใช่คนในเรื่อง) รู้สึกว่าเรา “ยิ่งใหญ่” หรือไม่
การเล่าเรื่องตัวละครที่เป็นสีเทาเช่นนี้ อาจดูไม่ใหม่นัก แต่การถ่ายทอดมาเป็นหนังครอบครัวที่มีเด็กมาดูไม่น้อย โดยยังรักษาความสมดุลไม่ให้พ่อมดออกมาเป็นตัวร้ายมากเกินไปจนกลายเป็น ตัวอย่างที่ไม่ดี ในขณะที่ยังรักษาบุคลิกของพ่อมด Oz ในแบบ The Wizard of Oz ไว้ได้ ตรงนี้ถือว่า ทำออกมาได้พอดีและน่าชื่นชมจริงๆ และการเลือก James Franco มารับบท Oz ถือเป็นการเลือกที่เหมาะเหม็งมากๆ เพราะทั้งหน้าตาและบุคลิกของเขาทั้งออกแนวเจ้าเล่ห์ วายร้าย แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความน่าเห็นใจจนเกลียดไม่ลง
แต่ที่ประทับใจสุดๆ ก็คือบทแม่มดทั้ง 3 ในเรื่อง คือ Glinda (Michelle Williams) Theodora (Mila Kunis) และ Evanora (Rachel Weize) ซึ่งอันที่จริงบทแม่มดเหล่านี้ไม่ได้มีมิติอะไรที่น่าสนใจนัก เมื่อเทียบกับเรื่องราวของพ่อมด Oz แต่การได้นักแสดงสาวสวยและมีฝีมือมาเล่นบทเหล่านี้ ก็ทำให้บทที่ไม่อะไรกลายเป็นมีเสน่ห์มาได้อย่างประหลาด โดยเฉพาะ Michelle Williams ในบท Glinda ที่สวยจับจิตกระแทกตามากๆ ทุกๆ ฉากที่เธอออกมาเล่นเอาลืมทุกสิ่งไปเลยทีเดียว ขณะเดียวนอกจากความสวย (มาก) แล้ว Michelle ทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่แหละ “แม่มดฝ่ายดี” จริงๆ ส่วนแม่มดอีก 2 คนก็สวยและมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน เรียกได้ว่า ต่อให้ใครไม่ชอบเรื่องเทพนิยายผจญภัย แต่เข้าไปดูแม่มด 3 สาว แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
ตัวหนังยังมีตัวละคร CG ที่น่ารักและแย่งซีนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเจ้าลิงบินได้และตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ที่เชื่อว่าหลายคนต้องหลงรักแน่นอน และที่ชอบอีกอย่างคือเทคนิคการเล่าเรื่องด้วยภาพขาวดำในอัตราส่วน 4:3 ในช่วงต้นเรื่อง ก่อนจะขยายเป็นภาพสีสันสดใจเต็มจอ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้เรารู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของดินแดน Oz เข้าไปอีก รวมถึงนำเรื่องราวมายากลมาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเวทย์มนต์แห่งนี้ ก็ทำได้อย่างสนุก และแตกต่างจากดินแดนเวทย์มนต์อื่นๆ ไม่น้อย
โดยรวมแล้วแม้ Oz: The Great and Powerful จะไม่ใช่หนังแนวเหนือความคาดหมาย หรือพยายามเล่าเทพนิยายในมุมมองที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ด้วยงานด้านภาพที่สวยสด การแสดงที่มีเสน่ห์ของเหล่าตัวละคร และเนื้อเรื่องที่แม้จะเดาง่ายแต่ก็เล่าออกมาได้อย่างสนุกทีเดียว รวมยังแทรกข้อคิดเรื่อง “ผู้ยิ่งใหญ่” ไว้ได้อย่างน่าประทับใจ ทำให้ถ้าใครชอบหนังแนวนี้อยู่แล้ว เชื่อว่าจะไม่ผิดหวัง แต่ถ้าไม่ แค่เข้าไปดูความงามของแม่มดสาวก็คุ้มแล้ว
ความชอบส่วนตัว: 8/10
เกร็ดน่าสนใจเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ Oz
ต้นฉบับจริงๆ ของเรื่องราวในดินแดน Oz ก็คือหนังสือ The Wonderful Wizard of Oz ของ L.Frank Baum ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหญิง Dorothy กับสุนัขคู่ใจ ที่หลงไปในดินแดนแห่ง Oz และต้องเดินทางไปหาพ่อมด Oz เพื่อเชื่อว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอกลับบ้านได้ นำไปสู่การเดินทางพร้อมร่วมทางแสนประหลาด ได้แก่ หุ่นกระป๋องไร้หัวใจ สิงโจขี้ขลาด และหุ่นไล่กาไร้สมอง บทประพันธ์เรื่องนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นหนังเพลงเรื่อง The Wizard of Oz ในปี ค.ศง1939 โดยมี Warner Brothers ซึ่งต่อมาหนังเรื่องนี้ก็ได้ขึ้นหิ้งหนังคลาสสิคเรื่องหนึ่ง (แม้ว่าตอนฉายแรกๆ จริงๆ จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จก็ตาม)
ปัญหาใหญ่ของ Oz: The Great and Powerful ก็คือ ผู้สร้างครั้งนี้คือ Disney ซึ่งแม้จะได้รับลิขสิทธ์หนังสือจาก Baum แล้ว และสามารถเรื่องราวตามต้นฉบับได้เต็มที่ แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ภาพที่ออกมาในหนังไปซ้ำกับ The Wizard of Oz มากเกินไป เพราะในหนัง The Wizard of Oz นอกจากจะมีส่วนต้นฉบับหนังสือแล้ว ส่วนที่เป็นจินตนาการที่ผู้สร้างต่อเติมเข้าไปเองด้วย ซึ่งส่วนหลังถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Warner Brathers ที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ อาทิ ต้นฉบับมีเมืองมรกต The Wizard of Oz ก็มีเมืองมรกต Oz: The Great and Powerful สามารถมีเมืองมรกตตามต้นฉบับได้ แต่เมืองมรกตต้องมีลักษณะไม่เหมือนใน The Wizard of Oz
ดังนั้น อาจจะหวังยากหน่อยที่เราจะได้เห็น The Wizard of Oz ในเร็ววันนี้ เพราะปัญหาทางลิขสิทธิ์ แต่ถ้ามีก็อาจเป็น The Wizard of Oz ที่แตกต่างไปจากเวอร์ชั่น 1939 โดยสิ้นเชิงไปเลย อย่างไรก็ตาม ที่ไม่ต้องรอคือ ตอนนี้ด้วยความสำเร็จของ Oz: The Great and Powerful เลยมีประกาศสร้างภาค 2 ของเรื่องนี้มาแล้ว เพียงแต่ก็ยังเป็นเรื่องของพ่อมด Oz อยู่นั่นเอง
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Alice Through Looking Glass 2 (2016)
The Nutcracker And The Four Realms (2018) เดอะนัทแครกเกอร์กับสี่อาณาจักรมหัศจรรย์
The Hip Hop Nutcracker (2022) แคร็กเกอร์ฮิปฮอป
7.8