KUBHD ดูหนังออนไลน์ Oppenheimer (2023) เต็มเรื่อง ออพเพนไฮเมอร์
เรื่องย่อ
สปอย ออพเพนไฮเมอร์ เรื่องราวของ Oppenheimer ชายผู้มีปัญหาในตัวเองมากมาย แต่ก็ถูกมองข้ามไปด้วยความปราดเปรื่องของตัวเขา เมื่อเขาถูกขอความช่วยเหลือให้หาหนทางยุติสงครามโลกครั้งที่สอง เขาก็ชี้ไปที่ความหวังเดียวเท่านั้น คือ อาวุธปรมาณูที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงจนสามารถยับยั้งไม่ให้ทุกฝ่ายต่อสู้กันต่อไปได้อีก
โชคร้ายที่อย่างช้าที่สุดในม.ค. 2022 ฉันไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับความก้าวหน้าหรือการพัฒนาจากนั้นของระบบควบคุมหรือข้อมูลการพัฒนาที่สำคัญของ Oppenheimer 2023 และก็การกลับมาอีกรอบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปสำหรับในการเลิศครั้งปัจจุบันของฉัน J. Robert Oppenheimer เป็นสาระสำคัญของการศึกษาค้นคว้าวิจัย โดยเอ่ยถึงเขาว่าด้านการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยของแผนการวิจัยในขณะนี้เป็นครั้งลำดับที่สองซึ่งมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก การพัฒนาอะตอมที่สำคัญหรือความเคลื่อนไหวของ Oppenheimer ในปี 2566? วิเคราะห์บทวิเคราะห์ปัจจุบันแล้วก็สำคัญที่สุดเพื่อมองข้อมูลปัจจุบัน
หัวข้อเฉพาะหรือเฉพาะเกี่ยวกับชีวิต งาน หรือมรดกของ Oppenheimer เพื่อชี้แจงเนื้อหาข้างในขอบเขตวิชาความรู้ปัจจุบันของฉัน ฉันจะต้องช่วยเหลือในที่ส่วนรวม Oppenheimer สำหรับข้อมูลปัจจุบัน ปัจจุบัน.ตามหลัก ภาพยนตร์ Oppenheimer ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งบางทีอาจอิงจากผลงานของเขา American Prometheus: The Triumph and Tragedy of J.Robert Oppenheimer มีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจและก็การบรรลุผลของนักเลขมีชื่อสุดยอดโดยตรง เรื่องราวของนิยาย Atomic เป็นเรื่องเศร้าที่หน้าประตูของสายสืบ ความข้องใจเกี่ยวกับข้อด้อยและก็ข้อผิดพลาดของตนในฐานะมนุษย์ และก็เหนือสิ่งอื่นใดเป็นความนึกคิด ความพึงพอใจ แล้วก็ความรับผิดชอบของเขาในตัวดร. แฟรงเกนสไตน์ มามิได้..
แล้วก็ในระหว่างที่หนังหัวข้อนี้ใช้เวลาสามชั่วโมงเต็ม แม้กระนั้นสำหรับหนัง Oppenheimer ตามเดิมของโนแลนนั้นมิได้ถูกพูดถึงเกินความคาดหวังอะไร บางเวลาการเล่าเรื่องก็เป็นเส้นตรงแล้วก็บอกผ่าน สิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งเป็นการบดขยี้การตัดที่สำคัญ โน่นเป็นแรงกระตุ้นของปี 1954 ที่ออพเพนไฮเมอร์ในคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูของส่วนนั้น ซึ่งขอความเห็นกับที่ปรึกษาเป็นการส่วนตัว การไต่สวนประเด็นนี้เกี่ยวโยงกับผู้บังคับบัญชาระบอบคอมมิวนิสต์แล้วก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ข้อความสำคัญที่ ‘ไม่อเมริกัน’ อีกหัวข้อหนึ่งคือการเล่าเรื่องด้วยภาพที่เกิดขึ้นใน
ปี 1959 โดยเป็นภาคต่อของภาพยนตร์สารคดีของลูอิส สเตราส์ (ซึ่งผู้ชมยกตัวอย่างเช่นพวกเราผู้นำที่ไม่เก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ทราบข้อมูลเบื้องหน้าเบื้องหลังที่สำคัญ จะงงมากว่าผู้ใดกันแน่เป็นหมอ กำลังติดตาม) กำลังถูกซักถามโดยวุฒิสมาชิกที่ถูกตั้งปัญหาเกี่ยวกับความเกี่ยวพันของเขากับออพเพนไฮเมอร์เพื่อได้รับการยินยอมรับจากคริสเตียน
รวมทั้งแนวทางนี้ได้รับการยืนยันอย่างยอดเยี่ยมด้วยคำชี้แจงที่เชื่อมโยงกับผู้แสดงหลายตัวยังคงสลับกับฉากย้อนอดีตที่พาผู้ชมเดินทางอีกทั้งเล็กและก็ใหญ่ซึ่งมิได้พูดวกวนๆไม่ปะติดปะต่อไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาแล้วก็ซึ่งก็คือ โน่นไม่นับรวมภาพสีที่ผู้ผลิตภาพยนตร์ใส่เข้าไปเพื่อสร้างผลพวงด้านวัฒนธรรมที่สำคัญ การตักเตือนถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือการแสดงความสับสนวุ่นวายด้านในของนักแสดง
หรือหากเปรียบเทียบกัน หนังของออพเพนไฮเมอร์ก็เสมือนฟันกรามขนาดเท่าหนูที่โชว์นิดๆหน่อยๆออกมามากมาย แต่ว่าเมื่อทุกรายละเอียดถูกจัดวางในตำแหน่งผลที่สอดคล้องต้องกันก็กระตุ้นให้ผู้ชมตั้งชื่อ ‘ภาพใหญ่’ ที่สะสมทั้งยังความกว้างรวมทั้งความลึกของ 1 แต่ละคน ชีวิตของเขาหรือคุณ ตำนานรวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า Rise and Fall or Glory and… Falling into it is very different from the rollercoasters of 2. ตำนาน
และก็ขนบธรรมเนียมด้านการเมืองที่ไม่ว่าช่วงใด (รวมทั้งประเทศใด) ความจำจะเปรอะเปื้อน สกปรก น่ารังเกียจ แล้วก็เล็ก แล้วก็เหนือสิ่งอื่นใดใน 3 เรื่องจริงแล้วก็คำตักเตือนคนภายในสังคมว่าห้องอาหารจำต้อง ‘อำนาจเมืองจะต้อง เหตุผลที่ยิ่งใหญ่’ เป็นเพราะว่าไม่เชื่ออีกต่อไปว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหตุของคนเราอีกต่อไป
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง Oppenheimer (2023) ออพเพนไฮเมอร์ หนังประเภท Biography ชีวิตจริง เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย ดูหนังออนไลน์ หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
คริสโตเฟอร์ โนแลน
บริษัท ค่ายหนัง
- บริษัท ซินโคปี จำกัด
- แอตลาส เอ็นเตอร์เทนเมนท์
นักแสดง
- คิลเลียน เมอร์ฟี
- เอมิลี บลันต์
- แมตต์ เดมอน
- รอเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์
- ฟลอเรนซ์ พิว
- จอช ฮาร์ทเน็ตต์
- เคซีย์ แอฟเฟล็ก
- รามี แมลิก
- เคนเนธ บรานาห์
โปสเตอร์หนัง
รีวิว ออพเพนไฮเมอร์
Kanin The Movie
Oppenheimer (2023) วันนี้ ในโรงภาพยนตร์
(เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
0.ส่วนตัวชื่นชอบงาน คริสโตเฟอร์ โนแลน มาเสมอ ชอบน้อยชอบมากต่างกันไป แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกหลงรักเขามากๆ มานานแล้ว ครั้งสุดท้ายแบบจริงๆ จังๆ ก็คง Inception (2010) เลย เลยรู้สึกว่างดงามมากๆ ที่ Oppenheimer ทำให้เรากลับมาตื่นเต้นกับผลงานของเขาแบบสุดๆ อีกครั้ง คืองานหนังที่อัดพลังแบบสุดความสามารถ ยอดเยี่ยมทั้งในการเป็นหนังชีวประวัติ ในการเป็นหนัง spectacle พาคนดูเข้าไปเป็นสักขีพยานวินาทีแห่งประวัติศาสตร์ ณ ห้วงที่โลกก้าวสู่ความตายอย่างไม่อาจหวนคืน
1.ชอบประโยค ‘theory will take you only so far’ มากๆ ความพิศวงของสรรพสิ่งที่เราจะไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้หากไม่ล่วงล้ำอาณาเขตเข้าไป เราต้องใช้มันเราจึงจะได้รู้ผลลัพธ์ของมัน แต่ก็เพราะแบบนั้นเราจึงไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปถึงไหน การล่วงล้ำอาณาเขตของ ออพเพนไฮเมอร์ ไม่เพียงทำให้เขาพบว่าโลกอาจถึงกาลอวสานเพราะการมีอยู่ของระเบิดนิวเคลียร์ แต่มโนธรรมที่เขาไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ก็ปรากฎตัวขึ้นหลังจากนั้นด้วย ปฏิกิริยาห่วงโซ่ที่อาจทำให้มนุษยชาติล่มสลาย เฉกเช่นความรู้สึกผิดที่กระจัดกระจายขยายตัวในจิตใจอย่างไม่มีทางหวนคืน
2.จริงๆ รู้สึกมันเป็นหนังที่โรแมนติกมากๆ ในการพูดถึงความสัมพันธ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเหมือนเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ต่างดิ้นรน และต่อสู้ในบริบทที่ต่างกันออกไป การดำรงอยู่ของพวกเขาในสองช่วงเวลา (สงครามโลกครั้งที่ 2 / สงครามเย็น) การถูกการเมืองดึงเข้ามาในนามผู้กอบกู้ชาติ และถูกผลักไสในฐานะกบฎแผ่นดิน พอเรื่องมาขมวดจบโดยยังวนเวียนเกี่ยวกับชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ยังคงให้ใจ และนับถือกันรู้สึกว่ายิ่งใหญ่มากๆ
3.การเมืองที่ผลักคนเห็นต่างให้เป็นศัตรู กระบวนการยุติธรรมที่ถูกรองรับให้เป็นพิธีในการกำจัด หรือแต่งตั้งใครสักคน ผลลัพธ์จึงไม่ใช่ปลายทาง หากแต่เป็นการเฝ้าดูกระบวนการที่บิดเบี้ยวในขั้นตอนทั้งหมด พาร์ทไต่สวนออพเพนไฮเมอร์ประสาทแดกมากๆ แต่ฟังก์ชั่นที่ชอบคือการรียูเนียนบรรดาเพื่อนพ้องคนรู้จักให้กลับมาเจอกันในห้อง ราวกับเป็นบทสนทนาสรุปทุกสิ่งที่พวกเขามีต่อกัน การเมือง อุดมการณ์ และมิตรภาพที่ครอบตัวพวกเขา แต่ถูกชั่งน้ำหนักแตกต่างกันไปในแต่ละคน (ชอบการที่ออพปี้นั่งข้างหลัง เฝ้ามองผู้คนมากมายที่มาให้การ, ชอบที่ภรรยามานั่งข้างหลังเขาในช่วงนึง และชอบที่ทนายมานั่งข้างๆ เขาเพื่อฟังหลักฐาน และขอโทษ)
4.ชอบที่บทสรุปปลายทางที่สุดมันเฉลยว่าทำไม สเตราส์ ถึงเกลียดชัง ออพเพนไฮเมอร์ ทั้งที่ผ่านมาเขาดูจะชื่นชม และนับถือ เรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในงานประชุมหารือ การถูกล้อเลียนเย้ยหยันจนกลายเป็นตัวตลก แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาหลายปีก็ยังคงแค้นฝังใจ และวางแผนกำจัดเพื่อนร่วมงานคนนี้ ในทางหนึ่งมันทำให้เราเห็นอาวุธทำลายล้างอีกชิ้นนั่นคือกฎหมายที่เขาล่วงล้ำอาณาเขตเข้าไปสู่อีกดินแดนเพื่อทำการทำลายชีวิตของออพปี้ มันคือเดิมพันหมดหน้าตักของเขา การก้าวออกจากเงามืด (ในฐานะผู้มีอำนาจ) สู่แสงสว่างที่ต้องเอาชนะให้ได้ ในความทำเป็นพิธีสุดท้ายจึงกลายเป็นผลลัพธ์ที่ไม่อาจควบคุมที่สุด (อีกความแค้นที่ชอบก็คือ คิทตี้ กับ เทลเลอร์ นี่แหละ บางอย่างผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังแค้น)
5.ชอบสีขาวดำในหนังมากๆ ทั้งสวย และเหมาะสมกับซีเควนซ์ไต่สวนในสภา ความลับลวงพรางของเกมการเมือง และกฎหมาย ทีแรกก่อนดูเข้าใจไปเองว่าหนังน่าจะแบ่งไทม์ไลน์ตามสีแน่ๆ (เหมือนกับตอน Memento) แต่จริงๆ แล้วถูกใช้งานในการแทน perspective ของตัวละคร หนึ่งเหตุการณ์ที่ถูกมองกันคนละแบบ ราวกับเป็นอาณาเขตที่พวกเขา (ออพเพนไฮเมอร์ / สเตราส์) ไม่อาจร่วมกันได้ หนึ่งในซีนที่ชอบก็คือฉาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ปรากฎในช่วงแรก และก็ตอนจบ บทสนทนาที่ไม่อาจล่วงรู้จนกลายเป็นเหตุฝังใจ แต่ในขณะเดียวกันการรับรู้ก็เป็นเรื่องชวนสยดสยองด้วย
6.จริงๆ อยากชมทุกสิ่งในหนังเลย การมาดูอีกรอบ (ใน IMAX Laser) ยิ่งทำให้เราเชยชมกับภาพยนตร์มากขึ้น (ยอมรับว่ารอบแรกโฟกัสไดอะล็อกแบบสุดๆ เหมือนกัน) งานผ่านๆ มาของโนแลนเหมือนเราเข้ามาดูความ spectacle ของหนังเขา แต่กับ Oppenheimer ความมโหฬารมันปรากฎเป็นซีเควนซ์สำคัญๆ ที่ไม่ได้เยอะมาก แต่ถูกเซ็ตอัพมาอย่างดี ภาพ IMAX อันใหญ่ยักษ์ถูกเทน้ำหนักไปกับการจับภาพชีวิต และใบหน้าของ ออพเพนไฮเมอร์ ซึ่งก็ดีมากๆ เช่นกัน โดยในเวลาเดียวกันฉากทดสอบ Trinity ก็เป็นสุดยอดโมเมนต์ ห้วงวินาทีที่ทุกอย่างเงียบกริบ ผู้ชมเองก็เผลอหยุดหายใจ เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสวยงาม ขนลุก และสุดสยองเมื่อเสียงร้องแห่งความตายสะเทือนในตอนจบ
7.รัก 2 นาทีสุดท้ายของหนังที่สุดเลย ไม่ได้รู้สึกกับหนัง โนแลน แบบนี้มานานแล้วที่ตอนจบมันเขย่าตัวเราหนักๆ รุมเร้าสารพัดสิ่งถาโถมใส่ ความรู้สึกระดับนี้ครั้งสุดท้ายของเรา กับงานเขาก็คือ Inception เลย ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วปฏิกิริยาลูกโซ่นี้จะเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อใด สงครามนิวเคลียร์จะมาอีกครั้งไหม แต่การชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือนได้มีส่วนร่วมในประสบการณ์ ‘วันสิ้นโลก’ ไปแล้วเรียบร้อย เป็นตอนจบที่เหมือนโลกจะแตกจริงๆ ชอบมากๆ เลย
ปล. ถ้านี่เป็นหนังจักรวาลมาร์เวลดีซี เรื่องต่อไปที่โนแลนจะทำก็คือ JFK นั่นแหละ (แม้ว่าจริงๆ ตอนดูเรื่องนี้ก็จะนึกถึง JFK (1991) ของ โอลิเวอร์ สโตน ไปแล้วก็ตาม)
Oppenheimer (2023)
dir. Christopher Nolan
คะแนน 9/10
รีวิวกระทู้ pantip Rovershearer
[SR] Oppenheimer (2023) ไม่มีไรหรอกแค่อยากคุย
Oppenheimer (2023) ไม่มีไรหรอกแค่อยากคุย
จะให้เขียนไรล่ะ ออกจากโรงหนังมาตอนสี่ทุ่มครึ่ง เป็นครั้งแรกที่ดู IMAX แล้วคนโคตรเยอะขนาดนี้ ไม่ได้ซื้อเองนะตั๋ว แพงอ่ะ โชคดีมี เพจใจดีเค้าให้มา เพราะโดยรสนิยมไม่ได้อินไรกับภาพบนจออยู่แล้ว ชื่นชอบกับบทหนังมากกว่า ก่อนเข้าไปดูก็ทำใจหน่อยๆแล้วว่าน่าจะไม่อินเพราะไม่ได้เป็นสาวกของ โนแลนอยู่แล้วโดยส่วนตัว
แต่พอได้ดูจริงๆ มันสนุกกว่าที่หวังไว้เยอะมาก มันสนุกในแบบที่เป็นทางของเราใช่มันเป็น 3 ชั่วโมงที่ไม่ได้น่าเบื่อเลยแม้แต่สักนาทีเดียว นี่เราเสพขยะราคาถูกจากพวกสตรีมมิ่ง เยอะเกินไปใช่มั้ยนี่ เพราะเราจ่ายครั้งเดียวจบแล้วเราก็เสพมันแบบเอนจอย ในราคาเวลาชีวิต ที่เราคิดว่าคุ้มค่าไปแล้วใช่มั้ย ใช่มันเคยตัว
พอมาเจอหนังที่บทและนักแลดงเล่นกันได้แบบเรียกว่าชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องขนาดนี้
ไม่ได้จะมารีวิว Oppenheimer เพราะคิดว่าหลายสำนักน่าจะจัดกันไปเยอะแล้ว แต่ก็อย่างที่บอกหนังไม่ใช่สำหรับทุกคน หนังของผู้กำกับคนนี้เลือกคนดูพอควร แต่ช่างเหอะ เรื่องนี้ผมดูแล้วชอบเลยมาเขียน
หนังดี บทดี สนุก และในใจบอกเลยว่า RDJ ควรได้ออสการ์มากกว่าเมอร์ฟี่ ก็มาดูกัน อ้อ แล้วโนแลนก็ฉลาดพอที่จะเอาฉาก 18+มาใช้ดึงคนดูตอนที่หนังกำลังเอื่อยได้ที่ตลอด ขอบอกเลยนายฉลาดมาก
และที่สำคัญหนังดันทำให้คิดไปถึงแถวๆบ้านที่ใช้วิธีการล่าแม่มดในแบบของแต่ละประเทศไปซะอีก
BENJI Review
Oppenheimer (2023) – ชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง และความสำนึกผิดของโพรมีเธียสที่มอบเปลวเพลิงให้แก่มนุษย์
” Now I am become Death, the destroyer of worlds ”
กำกับและเขียนบทโดย Christopher Nolan
ได้ดูเสียทีกับเรื่อง Oppenheimer (2023) หนังที่รอคอยที่สุดประจำปีนี้
หลังจากได้รับชม ก็รู้สึก “ไม่ผิดหวัง” และอยากจะมารีวิวแชร์ความรู้สึก เชื่อว่า หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้ทุกคนตราตึงใจ 😊
[ ความรู้สึกหลังชม ]
– จุดแรก รู้สึกอยากจะยกย่องใน “ความยอดเยี่ยมของเทคนิคการเล่า”
โนแลนเป็นนักเล่าเรื่องฝีมือฉกาจ เขาเป็นผู้กำกับที่เล่าเรื่องธรรมดาด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดา เช่น การเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลา (Nonlinear narrative) บทสนทนาที่อัดแน่นด้วยรายละเอียด ไปจนถึงการประกอบไอเดียและ Element จำนวนมหาศาลให้เป็นชิ้นด้วยความเป็นระเบียบ เชื่อมด้วยกับตรรกะที่แม่นยำ
ส่วนนี้เองทำให้โนแลนเป็นกระบี่มือหนึ่งในการทำหนังสาย Plot Driven (ภาพยนตร์ที่อาศัยพลังของพล็อตเรื่องเป็นหลัก) !
และเมื่อก้าวเข้ามาสู่โทนของภาพยนตร์ชีวประวัติอย่าง Oppenheimer โนแลนก็นำเอกลักษณ์ที่ตัวเองมีมาใช้ในภาพยนตร์ได้โดดเด่น
ทั้งสไตล์การรัวไดอะล็อก Quote ที่น่าสนใจ ความเดือดของเรื่อง (ที่เป็นฐานมาจากทริลเลอร์ / แอ็คชัน) ความเป็นไซไฟและความเซอร์เรียล สตอรี่ที่สลับกันระหว่างช่วงเวลา
ส่งผลให้ Oppenheimer เป็นหนังชีวประวัติที่เดือดและเข้มข้นมากจริง ๆ
– จุดถัดมา “พลังแห่ง Cinematic”
เมื่อผู้กำกับเป็นผู้ศรัทธาในพลังแห่งภาพยนตร์ (Cinema) ดังนั้นหายห่วงเรื่อง “Cinematic Experience”
ฉากและมวลรวมอารมณ์ในเรื่องตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะงานภาพ เช่น ความคราฟต์ของฟุตเทจจินตนาการฟิสิกส์, ซีนระเบิดและเปลวเพลิงในเรื่อง, ซีนการทดสอบนิวเคลียร์ (Trinity Test) อันแสดงถึงพลานุภาพของเพลิงยักษ์ที่เผาทำลายในรัศมี, ช็อตโคลสอัพนักแสดง
ไปจนถึงเสียงประกอบเกี่ยวกับระเบิด ทั้งเสียงระเบิดจริง และเสียงที่เกี่ยวข้อง เช่น ซาวน์ที่ให้ฟีลลิ่งเหมือนของกำลังหล่นกระทบพื้น (งาน Foley ละเอียดมาก)
ทั้งหมดถูกอัดแน่นภายใต้ธีมระเบิดปรมาณู ดังนั้นค่อนข้างน่าเสียดาย ถ้าเกิดไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ !
– พล็อตเรื่องโฟกัสที่ชีวิตของ “J. Robert Oppenheimer” นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นหัวเรือโครงการ Manhattan หรือโครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ (Atomic bomb) ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกของสหรัฐฯ
ชีวิตของออปเพนไฮเมอร์ ถูกสำรวจในหลายมิติ ทั้งในแง่นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง ขณะเดียวกัน ก็มีผิดพลาดและน่าอาภัพ โดยเฉพาะช่วงที่เขาร่วงหล่นโดนทำลายชีวิตจากผลพวงทางการเมือง
ทำให้เห็นว่า “ชีวิตของออปปี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ”
บางทีชีวิตที่เรียบง่าย หรือชีวิตที่ “ไม่ยิ่งใหญ่” อาจมีความสุขกว่าชีวิตที่ต้องเผชิญกับกระแสการเมือง ความบีบคั้น และความรู้สึกผิดบาปในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปชั่วชีวิต
– อีกประเด็นที่ชอบ คือ ชอบที่หนังแสดงให้เห็นถึง “อำนาจของวิทยาศาสตร์” ที่เปลี่ยนแปลงได้ทั้งในระดับปัจเจก ไปจนถึงพลวัตทางการเมือง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การทดลองนิวเคลียร์ในครั้งนี้ ทำให้ชีวิตของออปปี้เปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน ขณะที่ในระดับประเทศ สหรัฐฯ ได้กลายเป็นชาติผู้กำหนดกติกาโลก เมื่อสหรัฐ ฯ ได้ครอบครองอาวุธทรงอานุภาพชิ้นนี้
นี่จึงแสดงให้เห็นว่า “ทำไมวิทยาศาสตร์ถึงสำคัญ และเป็นเครื่องมือที่กำหนดพลวัตโลกได้อย่างไร”
– ชอบวาทะศิลป์ของ Oppenheimer เช่น การเกริ่นถึง “ตำนานโพรมีเธียส (Prometheus)” และการยกคำกล่าวจาก “ภควัทคีตา” บ่งบอกถึงระดับความรู้ด้านวรรณกรรมและวรรณศิลป์ของออปปี้
นอกจากนี้ ถ้าใครเป็นแฟนคลับนักวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์ รับรองว่าฟินแน่นอน เพราะ มีชื่อนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่เราเคยเรียนกันในหนังสือโผล่มาเพียบ
– พาร์ทนักแสดง มีการขนทัพนักแสดงเบอร์ใหญ่มามากมาย แต่ที่เด่นที่สุด ขอยกนิ้วให้ “Cillian Murphy” ที่เพิ่งจะได้รับบทนักแสดงหลักในภาพยนตร์ของโนแลน ดูแล้วน่าจะมีโอกาสเข้าชิงออสการ์ไม่ยาก
– งานดนตรีประกอบโดย Ludwig Goransson น่าสนใจเป็นพิเศษ ธีมเด่นติดหู ขณะที่บรรยากาศดนตรีโดยรวม ดูเค้นเข้ากับโทนหนัง Oppenheimer เป็นอย่างยิ่ง
– มาถึงข้อเสียบ้าง
— ส่วนแรก หนังไม่เฟรนลี่กับคนดู อย่างน้อยผู้ชมควรรู้ประวัติศาสตร์ การเมือง ฟิสิกส์มาบ้าง เพื่อให้ต่อติดกับภาพยนตร์ได้
— ส่วนถัดมา หนังของโนแลนอาศัย “ไดอะล็อกและเหตุการณ์” เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก (Story-based)
แต่ในแง่ภาพยนตร์ชีวประวัติที่ต้องสำรวจชีวิตของตัวละคร หากมีการเพิ่มความเป็น Character-based เช่น การใช้ความดิ่งลึกทางการแสดง การ Improvise การขุดอารมณ์ของตัวละคร จะช่วยให้หนังมีมิติที่นุ่มนวล
— ส่วนที่สาม หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นรถเฟอร์รารี่ที่ซดน้ำมันหนักตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงฉากสุดท้ายของเรื่อง ส่วนตัวรู้สึกว่า หนังแน่นและเป๊ะในทุกอย่าง ทว่ามันก็ขาดความยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน บางทีถ้ามีการใส่ space หรือลดทอนความแน่นออกไปบ้าง อาจช่วยให้หนังมีความเป็นธรรมชาติขึ้น กระชับ ไม่ยืดเยื้อ (ยิ่งถ้าให้ฉากนิวเคลียร์ระเบิดเป็นฉากจบจะสวยมาก เพราะ ตรงนี้เป็น Climax ของเรื่อง)
— ส่วนสุดท้าย ฉาก 18+ (อาจจะ) ไม่ต้องมีก็ได้ 😅
สรุป – ถือเป็นหนังฟอร์มยักษ์คุณภาพคับแก้วของโนแลน และน่าจะได้ชิงออสการ์หลายสาขา ทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ ผู้กำกับ นักแสดงนำชาย การตัดต่อ งานภาพ งานเสียง และดนตรีประกอบภาพยนตร์
ชมมาขนาดนี้ ถ้าไม่ดูเสียดายแย่ !
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
The Imitation Game (2014) ดิ อิมมิเทชั่น เกม ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก
6.3