Billy Lynn s Long Halftime Walk (2016) บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเดือด
เรื่องย่อ
บิลลี่ ลินน์ วัย 19 ปี ถูกนำตัวกลับบ้านเพื่อทัวร์ชัยชนะหลังจากการสู้รบในอิรัก ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทีมของเขาผ่านการย้อนเหตุการณ์ โดยเปรียบเทียบความเป็นจริงของสงครามกับการรับรู้ของอเมริกา
ผู้กำกับ
- Ang Lee
บริษัท ค่ายหนัง
- TriStar Pictures
- Studio 8
- LStar Capital
- Film4
- Bona Film Group
- The Ink Factory
- Marc Platt Productions
นักแสดง
- Joe Alwyn
- Kristen Stewart
- Chris Tucker
- Garrett Hedlund
- Makenzie Leigh
- Vin Diesel
- Steve Martin
โปสเตอร์หนัง Billy Lynn s Long Halftime Walk (2016) บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเดือด
รีวิวหนัง
สมาชิกหมายเลข 762528
[Movie Review] Billy Lynn’s Long Halftime Walk – เมื่อบ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไปแล้ว by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 164] Billy Lynn’s Long Halftime Walk – เมื่อบ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไปแล้ว ; (Ang Lee, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++ (จากสเกล D-A)
**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน๊อยส์
เรื่องย่อ : เรื่องราวของ บิลลี่ ลินน์ (Joe Alwyn) หนุ่มน้อยวัย 19 ปี และสหายของเขาจากกองร้อยบราโว่อันโด่งดังจากสมรภูมิอิรักและถูกเชิญไปเดินสายโชว์ตัวทั่วประเทศในฐานะ ‘ฮีโร่ของชาวอเมริกัน’ .. ซึ่งระหว่างการเดินสายพบปะมวลชนนั้น บิลลี่และพรรคพวกก็สัมผัสได้ถึง ‘ความแปลกแยก’ ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาและคนปกติทั่วไป
ขอสารภาพบาปว่าตอนแรกไม่ได้คิดจะดูเรื่องนี้เลยจริงๆเพราะส่วนตัวแล้วเอือมๆกับหนังสไตล์ทหารอเมริกันที่ชอบยัดเยียดความเป็น patriotism เข้ามาเยอะๆจนเลี่ยนแล้วเลี่ยนอีก แต่พอดูจบแล้วก็ต้องบอกเลยว่า ‘ประทับใจ’ กับลีลาการเล่าเรื่องที่เวิร์กและการคุมโทนที่เหนียวแน่นมากๆ เรียกได้เลยว่าถ้าพลาดไปจริงๆนี่คงเสียดายตายแน่ๆ
เราจะได้เห็นเรื่องราวผ่านมุมมองของเด็กหนุ่มทหารผ่านศึก ‘บิลลี่’ และเพื่อนร่วมหน่วยบราโว่กับบทบาทซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวอเมริกันที่ใครเห็นก็ต้องเข้ามายกย่อง-ขอบคุณ, เครื่องแบบเต็มยศของพวกเปรียบเสมือน ‘แบรนด์’ ยอดนิยมที่ใครๆที่เห็นต่างก็คลั่งไคล้–ความเป็นชาตินิยมได้พุ่งถึงจุดสูงสุดจนพวกเขาถูกใช้เป็นแค่วัตถุดิบส่วนหนึ่งของงานกีฬาอเมริกันฟุตบอลและโชว์คั่นเวลาอันโด่งดังของเท็กซัสเท่านั้น
ประเด็นแรกที่ชอบก็คือการที่หนังเลือกที่จะหยิบจับ ‘ความรู้สึกผิดแผก’ ของบิลลี่และพรรคพวกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักของเรื่อง–การกลับมาบ้านเกิดของบิลลี่ไม่ได้ให้ความรู้สึก ‘เหมือนบ้าน’ อีกต่อไปแล้ว ทั้งความอึดอัดที่เกิดขึ้นจากปากเสียงเล็กๆน้อยๆของคนในครอบครัว, การถูกดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ และการถูกคาดหวังในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นจากคนรอบข้าง มันกลายเป็นความซับซ้อนที่บิลลี่ไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้ว
หรือแม้แต่ในสายตาคนปกติทั่วไป ที่มองพวกเขาเป็น ‘บางสิ่ง’ ที่น่าเชิดชูจนน่าขนลุก ทั้งยังมองการสังหารศัตรูในสนามรบว่าเป็นการกระทำที่สูงส่งราว จนสร้างความรู้สึก ‘กระอักกระอ่วน’ ขึ้นมา ซึ่งจะว่าไปมันก็คือการนำเสนอความรู้สึกในมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างพลเมืองอย่างเราและนายทหารที่ไม่สามารถ ‘fit in’ เข้าไปในสังคมออกมาได้อย่างแม่นยำจนน่าขนลุก ซึ่งหนังก็เล่าเรื่องในประเด็นเล็กๆให้ขยายความออกมาได้ดีจนน่าชื่นชม
ความรู้สึกเทิดทูนบูชาที่เห็นได้ชัดอย่างนึงก็คือทางฝั่งตัวละครนางเอก(?)อย่างเฟย์ซัน (Makenzie Leigh) สาวเชียร์ลีดเดอร์ที่เจอกับบิลลี่แค่แว้บเดียวก็หลงรักหัวปักหัวปำชนิดโงหัวไม่ขึ้นจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ขึ้น ซึ่งจากคำพูดคำจาของเธอก็จะชี้ให้เห็นถึงความเป็น ‘ปอมปอม-คาโทลิคเกิร์ล’ ทั่วๆไปที่หลงรักบิลลี่ในฐานะ ‘ฮีโร่นายทหาร’ ที่ช่วยกอบกู้ประเทศ … ความตลกร้ายก็คือแววตาของเธอที่เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อบิลลี่พูดทำนองว่าจะตนนั้นอาจจะเลิกเป็นทหาร เชื่อว่าทุกคนคงสังเกตเห็นถึง ‘ความคาดหวัง’ ในแววตาที่เด็กสาวอยากจะให้พระเอกเป็นทหารที่เธอเทิดทูนบูชาต่อไปเรื่อยๆ … อนิจจา ความหลงไหลของเธอไม่ใช่ตัวของบิลลี่ แต่กลับเป็นหัวโขนที่เขาสวมไว้อยู่ต่างหาก
ความสะเทือนใจเกิดขึ้นเมื่อเหล่าทหารหาญทั้งหลายเริ่มรู้สึกว่าการกลับมาแผ่นดินเกิดนั้น ไม่ถือว่าเป็น ‘บ้าน’ อีกต่อไปแล้ว ทั้งสังคมที่วุ่นวาย, การเมืองที่น่ารังเกียจ และความยุ่งเหยิงของโลกวัตถุนิยมที่เกินกว่าจะรับไหว จนพวกเขาเอ่ยปากขึ้นมาเองเมื่อตอนที่ต้องกลับไปประจำการที่อิรักว่า “กลับบ้านกันเถอะ” .. ราวกับว่าสังคมไม่มีที่ว่างให้กับคนหลงยุคแบบพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
ในส่วนของมุกตลกร้ายที่หนังจัดใส่หนักใส่เต็มให้เต็มที่ โดยเฉพาะฉากหนึ่งที่ตัวเอกแหละจ่าไดม์ปฏิเสธทำสัญญาหนังกับนายทุน เนื่องจากนายทุนต้องการเอาเรื่องราว ‘ธรรมดาๆ’ ของๆพวกเขาไปเติมแต่งแต้มให้เป็นหนังเชิดชูความเป็นอเมริกันโดยไม่ได้แยแสในข้อเท็จจริง จนสุดท้ายผู้จัดการส่วนตัวอย่าง ‘อัลเบิร์ต’ (Chris Tucker) ก็ปลอบทำนองว่า “บางทีเราอาจจะลองไปหาทุนจากเมืองจีนแทนก็ได้นะ” .. ซึ่งความพีคก็คือหนังเรื่องนี้ดันเป็นหนังทุนจีนจริงๆซะด้วย! ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าหนังทั้งเรื่องนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงของชีวิต ‘บิลลี่ ลินน์’ กับวิถีทุนนิยมที่น่ารังเกียจ จนกลายมาเป็นหนังเสียดสีความเป็นอเมริกันอย่างสุดขั้วแบบนี้ก็เป็นได้
ในแง่ของตัวเอกอย่าง โจ อัลวิน ก็สอบในบทบาทของพลทหารวัยกระเตาะอย่าง ‘บิลลี่ ลินน์’ ได้ผ่านฉลุย ทั้งแววตาและสีหน้าที่สื่อความรู้สึกกังขาในจุดยืนตัวต่อสังคมที่ชวนให้เราคิดตาม และการแสดงที่ทำให้เราเชื่อได้จริงๆว่าตัวเขาคือเด็กอายุ 19 ที่ยังไม่ประสากับวิถีของโลกจริงๆ
ยิ่งเมื่อแพคคู่มากับตัวละครโปรดของผู้เขียนอย่าง ‘จ่าไดม์’ (Garrett Hedlund) แล้วยิ่งเวิร์กใหญ่ ซึ่งขอบอกว่าผู้เขียนรักตัวละครนี้มากกกกกกกก คือมันมี element ของความเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตสุดๆ แต่ในขณะเดียวกันอารมณ์ตลกร้ายที่มีเขี้ยวเล็บไม่แพ้กัน ไปๆมาๆหนังเรื่องนี้อาจจะเวิร์กได้เพราะมีตัวละครคนนี้อยู่นี่แหละ เชื่อว่าถ้าใครดูหนังมาแล้วก็คงจะรักเฮียไดม์ไม่แพ้กัน
สรุปคือ Billy Lynn’s Long Halftime Walk ก็เป็นหนังที่สอบผ่านได้ทุกความคาดหมาย และตรงกับจุดประสงค์ของชื่อเรื่องในแง่ของ ‘การผจญชีวิตของคนปกติ’ ของนายทหารธรรมดาๆอย่าง บิลลี่ ลินน์ .. ที่ยาวนานจนแสนจะเกินทน ทั้งยังมีตัวละครนำที่มีเสน่ห์ และข้อความของหนังที่สื่อออกมาได้ชัดเจน ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็อยากให้ลองไปดูกันครับ รับรองว่าคุ้มค่า ตั๋วไม่แพง ยิ้ม
tonty
มินิรีวิว : billy lynn’s long halftime walk (บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเดือด)
***เรื่องย่อ***
หลังจากมีแพร่ภาพการช่วยจ่าทหาร ทำให้หน่วย bravo ดั่งไปทั่ว พวกเขาถูกเชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ความกล้าหาญ ซึ่งการเชิญมาไม่ได้เป็นมิตรอย่างที่พวกเขาคิด มุมมองชีวิตของทหารในสงครามกับมุมชีวิตของคนปกตินั้นจะต่างกันอย่างไร
***ความสนุก***
หนังสไตล์ชิวดูได้เรื่อย ไหลๆ เพราะเน้นถ่ายทอดออกอย่างเป็นจริง หนังทำให้เราเห็นความเป็นจริงๆหลายอย่าง การคิดการตัดสินใจ มุมมองที่ต่างกันของทหารในสงครามกับของคนปกติซึ่งเป็นไฮไลท์ของเรื่องเลย
สรุป : หนังให้ความรู้สึกกลางๆ เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์
spencergrande6
7/10
นี่เป็นภาพยนตร์ที่ดี
นี่เป็นภาพยนตร์ที่ดี มีการพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ไม่ใช่ทั้งหมด และไม่ใช่เรื่องราวอย่างที่คนอื่นคิด ความจริงง่ายๆ ก็คือ นี่เป็นภาพยนตร์ต่อต้านสงครามที่มีการแสดงที่ยอดเยี่ยมและบางครั้งก็เป็นภาพยนตร์ที่ดึงดูดใจอย่างมาก แต่บ่อยครั้งที่ภาพยนตร์เหล่านี้กลับถูกทำให้เสียอรรถรสจากความล้มเหลวในการพยายามแสดงเทคโนโลยี บางฉากดูเหมือน “ละครเวที” มากจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี และแสงก็มักจะสว่างเกินไปจนเรืองแสงมากเกินไป (เหมือนละครสารคดี)
อย่างไรก็ตาม ฉันมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบ 3D Blu-ray และต้องบอกว่านี่เป็นภาพยนตร์ 3D ที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา ฉากต่างๆ มากมายมีมิติอย่างเหลือเชื่อ บางครั้งก็ดูโอ่อ่า แต่บางครั้งก็มีไว้เพื่อเล่าเรื่องราว เช่น ตอนที่บิลลี่กลับบ้านแล้วพบว่าโถงทางเข้าทอดยาวออกไปสุดสายตา ชวนให้เขาเข้าไปโอบกอด แต่ก็กลายเป็นกับดักอันมืดมิด ปริศนาสำคัญที่ทำให้เขาต้องคิดสองแง่สองง่ามคือศูนย์กลางของการทำงานภายในของเขา
6.3