ดูหนังออนไลน์ใหม่2024 หนังเต็มเรื่อง ดูหนัง 2023 HDฟรี
8xbet212

X-Men Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์

19 คะแนน

ตัวอย่าง

X-Men Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์

KUBHD ดูหนังออนไลน์ X-Men Dark Phoenix (2019)

เรื่องย่อ

X-Men Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์ เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์วีรบุรุษเชื้อชาติอเมริกันปี พุทธศักราช 2562 ที่สร้างขึ้นจากผู้แสดงเอ็กซ์เมนของมาร์เวลคอมิกส์ เป็นภาคต่อของ X-เม็น อะพอเพียงคคาลิปส์ ในปี พุทธศักราช 2559 เป็นภาคที่ 7 แล้วก็ภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ซีรีส์ X-Men แล้วก็ภาคที่สิบสอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1992 หนึ่งทศวรรษหลังจากเหตุการณ์ใน X-Men Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์ กลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถพิเศษนำโดยชาร์ลส์ ซาเวียร์ (เจมส์ แม็กอะวอย) ได้รับการเฉลิมฉลองในฐานะวีรบุรุษ ในระหว่างภารกิจอวกาศเพื่อช่วยเหลือนักบินอวกาศที่ติดอยู่ จีน เกรย์ (โซฟี เทิร์นเนอร์) ดูดซับพลังจักรวาลลึกลับที่รู้จักในชื่อฟีนิกซ์ ซึ่งขยายความสามารถด้านกระแสจิตและพลังจิตอันทรงพลังของเธอที่มีอยู่แล้ว

ขณะที่ฌองพยายามดิ้นรนเพื่อควบคุมพลังอันท่วมท้นในตัวเธอ เหล่าเอ็กซ์เม็นต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามครั้งใหม่ Phoenix Force ไม่เพียงแต่เพิ่มพลังของ Jean เท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดอันตรายต่อโลกอีกด้วย การต่อสู้ภายในของฌองระหว่างแรงกระตุ้นที่มืดมนของเธอกับความพยายามของ X-Men ที่จะกอบกู้เธอทำให้เกิดความขัดแย้งที่สำคัญของภาพยนตร์

X-Men Dark Phoenix (2019) X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับพลัง ตัวตน และผลที่ตามมาของความสามารถที่ไม่ถูกตรวจสอบ การเปลี่ยนแปลงของฌอง เกรย์เป็นดาร์กฟีนิกซ์กลายมาเป็นการเปรียบเทียบถึงการต่อสู้ภายในที่บุคคลต้องเผชิญในการรับมือกับปีศาจส่วนตัวของตนเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเจาะลึกความสัมพันธ์ภายในทีม X-Men และปัญหาทางศีลธรรมที่ศาสตราจารย์ Xavier ต้องเผชิญในขณะที่เขาต่อสู้กับการตัดสินใจของเขา

ไดนามิกของตัวละคร: ภาพยนตร์เจาะลึกถึงพลวัตระหว่างตัวละครหลัก รวมถึงจีน เกรย์, ไซคลอปส์ (ไท เชอริแดน), มิสทีก (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์), แมกนีโต (ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์) และคนอื่นๆ ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดภายในทีม X-Men สะท้อนภัยคุกคามภายนอกที่พวกเขาเผชิญ ทำให้เกิดเรื่องราวที่ซับซ้อนและสะเทือนอารมณ์

วิชวลเอฟเฟกต์และแอ็คชั่น:  มีเอฟเฟ็กต์ภาพที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการถ่ายทอดความสามารถอันทรงพลังและการทำลายล้างของ Jean Grey ในฐานะ Dark Phoenix ภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบด้วยฉากแอ็กชันที่เข้มข้น แสดงให้เห็นพลังอันหลากหลายของตัวละครกลายพันธุ์ และการต่อสู้กับทั้งมนุษย์และศัตรูที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์

บทสรุป: แม้ว่า X-Men Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์” ได้รับการวิจารณ์ที่หลากหลายจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม แต่ถือเป็นการสิ้นสุดภาพยนตร์ซีรีส์ X-Men ดังที่ทราบกันดีก่อนที่แฟรนไชส์จะรวมเข้ากับจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามที่จะปิดฉากตัวละครของ X-Men ที่เรารู้จักมานานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นไปที่วิวัฒนาการและความท้าทายที่จีน เกรย์ต้องเผชิญ ดูหนัง ออนไลน์

ผู้กำกับ

Simon Kinberg

บริษัท ค่ายหนัง

  • Marvel Entertainment
  • The Donners’ Company
  • TSG Entertainment

นักแสดง

  • เจมส์ แม็กอะวอย
  • มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์
  • เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์
  • นิโคลัส เฮาลต์
  • โซฟี เทอร์เนอร์
  • ไท เชอริแดน
  • Alexandra Shipp
  • Jessica Chastain

โปสเตอร์หนัง

x men dark phoenix 2019 16a44030 05de 47fa a7e0 4e0e41a509ce UyItvs5

รีวิวหนัง

เด็กน้อยวิจารณ์หนัง

X-Men: Dark Phoenix ( 2019 ) 6/10

“ ความบันเทิงที่ไม่หวือหวา “

( เรื่องย่อ )

⁃ แฟรนไชส์มนุษย์กลายพันธ์ุยังดำเนินต่อ ภาคนี้หยิบคอมิกส์ตอนที่โด่งดังที่สุดตอนนึงมาขึ้นจอใหญ่ ถ่ายทอดชีวิตที่มีปมจากอดีตอันแสนเศร้าของ จีน เกรย์ ( โซฟี เทอร์เนอร์ ) X-Men สาวที่มีพลังแฝงความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ พลังนั้นค่อยๆ แสดงออกทีละนิด จนเอ่อล้นในตัวเกรย์ เธอเริ่มคุมมันไม่อยู่ ในที่สุดพลังนั้นก็เปลี่ยนเธอให้กลายเป็น “ ดาร์ค ฟีนิกซ์ “ มนุษย์กลายพันธุ์ที่ทรงอานุภาพที่สุด และกลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามที่สุดเท่าที่เหล่า X-Men เคยเผชิญหน้ามา

( รีวิว )

⁃ “ ความบันเทิงที่ไม่หวือหวา “ คือ ความรู้สึกของผมหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบลง

⁃ ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะครับ แต่ หนังมันเฉยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา และการดำเนินเรื่องนั้น ก็เล่าแบบเรื่อยๆไม่มีจุดพีค หรือ จุดไคลแมกซ์แต่อย่างใด

⁃ เพียงแต่หนังเองก็มีข้อดีมาชดเชยข้อเสียทั้งหมดตรงที่ หนังมีฉากแอ๊กชั่นที่สนุกอยู่ในระดับนึง , ซีจีที่ดูเนียนตาและดูสวยงามกว่าภาคก่อน ( X-Men: Apocalypse ) , ฉากเปิดเรื่องที่ดูน่าสนใจ , การสร้างสถานการณ์ที่ทำให้ตัวละครอย่าง จีน เกรย์ ดูน่ากลัวในเวลาที่เธอคุมพลังไม่อยู่ และการกระจายบทของตัวละครหลักต่างๆให้ดูเท่าๆกัน แบบไม่มีใครเด่นกว่าใคร ซึ่งตรงนี้พอจะชดเชยข้อเสียของหนังได้บ้างนั้นเอง

⁃ แต่ข้อเสีย ที่กลายเป็นจุดเสียดายมากที่สุดสำหรับผมเองก็คือ พาร์ทดราม่าที่ไปไม่สุด ไม่อินกับเรื่องราวของตัวละครหลัก ทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง ชาร์ล เซเวียร์ และ จีน เกรย์ รวมไปถึง ปมปัญหาความขัดแย้งของตัวละครหลักในเรื่อง ก็ดูไม่อินเหมือนกันกับภาคก่อนๆ และสุดท้ายสิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดมากๆก็คือ…… หนังใช้งานดาราคุณภาพอย่าง “ เจสสิกา แชสเทน “ ได้ไม่คุ้มเลย และที่สำคัญ ถือว่า ตัวเธอสอบไม่ผ่านสำหรับหนังแฟรนไชส์เรื่องนี้ครับ ( สำหรับความเห็นส่วนตัวของผม )

⁃ ถึงแม้ข้อเสียอาจจะมีเยอะ แต่อย่างที่ผมกล่าวไว้ หนังเองก็ไม่ถึงกับแย่มากมายอะไร แต่ก็ไม่ได้ดีมากเช่นกัน ผลลัพธ์ของหนังเลยออกมาอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ทั้งๆที่ หนังเองสามารถทำได้ดีกว่าดี ทั้งบท ที่ถือว่าโอเคในระดับนึง ( ถึงแม้อาจจะขัดใจในตัวละครบางตัวในเรื่องบ้างก็ตาม ) , ฉากแอ๊กชั่นที่ทำออกมามันส์พอควร ( เพียงแต่มีน้อยไปนิด ) , ฉากเปิดเรื่องที่ดูน่าสนใจและชวนลุ้นเอาใจช่วยต่อทีม X-Men , รวมไปถึงพาร์ทดราม่าที่ดูน่าสนใจ แต่หนังกลับนำเสนอแบบไม่ชวนอินตามตัวละครได้ และที่เสียดายจริงๆ ก็อย่างที่ผมบอกไว้ทั้งๆที่ หนังเรื่องนี้รวบรวมดาราระดับคุณภาพเอาไว้ ทั้ง แม็คเอวอย , ฟาสเบนเดอร์ , โซฟี เทอร์เนอร์ , แชสเทน , และก็ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ แต่ทุกคนกลับแสดงได้ไม่เด่น บวกกับบทของหนัง ที่ไม่ให้ใครเด่นกว่าใคร เลยทำให้การแสดงของดาราคุณภาพแต่ละคนในเรื่องนี้ล้วนแต่ ดูราบเรียบและดูเฉยๆจนจบเรื่องนั้นเองครับ

⁃ สรุปเลยแล้วกันครับ X-Men: Dark Phoenix อาจจะไม่ใช่หนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ต้องร้องว้าวแบบน่าชื่นชม อาจจะไม่ดีเด่นอะไรมากมายนัก แต่หนังเองก็ไม่ได้แย่จนถึงขั้นต้องสับเละ เพียงแต่หนังมีจุดอ่อนที่มีมากเกินไป และการเล่าเรื่องที่ไม่มีอะไรให้ต้องร้องว้าว เลยทำให้ผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้ออกมาอยู่ในระดับพอใช้เท่านั้นในรูปแบบของ “ ความบันเทิงที่ไม่หวือหวา “ ในแบบที่คนดูอย่างผมคาดหวังเอาไว้ตั้งแต่ต้น

⁃ ดังนั้นผมขอให้คะแนน 6/10 สำหรับหนังเรื่องนี้ อย่างน้อยหนังเองก็มีอะไรทิ้งท้ายหรือให้นึกถึงกับทีม X-Men ได้บ้างก็ตามนั้นเอง

คุมะรีวิว

Movie 2019-15 : X-MEN Dark Phoenix

รีวิว เชื่อว่ามีหลายคนคงสงสัยว่าหนังเรื่องนี้มันแย่ขนาดไหนกัน ทำไมคำวิจารณ์ต่างๆ มันถึงได้เละเทะขนาดนี้ รวมถึงรายได้ก็ดูเหมือนจะเป็นไปตามคำวิจารณ์ต่างๆ จากคนที่ดูมาแล้วด้วย

เอาละ

หลังจากดูจบ ก็ต้องยอมรับตรงที่ว่ามาตรฐานของหนังมันหล่นลงไปจริงๆ ถ้าเราเอาไปเปรียบกับภาคต่างๆ ที่รีบูทจักรวาลใหม่ของหนังชุดนี้ แต่…มันไม่ได้แย่ขนาดว่าดูไม่ได้เลย หนังมันก็ยังคงความสนุกอยู่ และยังทำให้เราเพลิดเพลินได้อยู่ ถึงจะมีหลายจุดที่คนดูอาจจะขัดใจ คิดว่าหลายๆ รีวิวก็คงได้รีวิวกันไปหมดแล้ว ผมเลยจะไม่ขอเขียนถึงจุดเหล่านี้ซ้ำครับ

ถึงจะไม่ใช่ภาคปิดท้ายที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมว่าหนังมันก็เล่าในสิ่งที่หนังต้องการจะเล่าได้ให้เราเข้าใจจุดประสงค์ของมันอยู่นะ ในมุมมองของผมเองรับได้ และไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหลังดูจบเลย บางช่วงบางตอนก็เพลินดี บางช่วงบางตอนก็อะไรวะ (มีบ้าง ฮ่า)

Movies Delight Club

X-Men: Dark Phoenix (Simon Kinberg, 2019) คะแนน C (6/10)

“ค่อนข้างน่าผิดหวังเพราะหนังไม่มีอะไรให้น่าจดจำ” X-Men: Dark Phoenix มีเหล่านักแสดงมากฝีมือและเต็มไปด้วยเสน่ห์หลายคนเป็นทุนเดิมจากภาคก่อน ๆ เพิ่มเติมมาคือตัวร้ายรับบทโดย เจสสิกา แชสเทน ซึ่งเป็นบทบาทที่ไม่มีอะไรน่าจดจำจนน่าเสียดาย หนังเปิดเรื่องราวมาค่อนข้างน่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นฮีโร่ และต้องการให้คนธรรมดายอมรับความแปลกแยกของมนุษย์กลายพันธุ์ ไดอะล็อกของหนังค่อนข้างเข้มข้นในช่วงต้นเรื่อง

และดูมีประเด็นสาระที่น่าสนใจอยู่พอสมควร แต่หลังจาก จีน เกรย์ ตัวละครนำของภาคนี้กลายเป็นหญิงสาวใจแตก หนีออกจากบ้าน ควบคุมพลังไม่ได้ หนังก็เข้าสู่โหมดความเชยและไม่มีอะไรให้น่าจดจำ ไม่ทำให้เรารู้สึกอยากติดตามเอาใจช่วย ยิ่งไปกว่านั้น ฉากแอคชั่นต่อสู้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่และจำเจซ้ำซาก ฉากแอคชั่นหลายฉากดูเชยและดูพิลึกพิลั่นขาดเสน่ห์ มีความกั๊กไม่เต็มที่ในฉากแอคชั่นอย่างเห็นได้ชัดเพราะอาจจะด้วยเรทของภาพยนตร์

ดังนั้น ประเด็นในความเป็นฮีโร่และการยอมรับตัวตนเพื่ออยู่ในสังคมที่แปลกแยก ความพยายามเป็นที่ยอมรับที่หนังเลือกใช้เปิดเรื่องของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ ไม่ได้ถูกต่อยอดจนขยายประเด็นเหล่านั้นให้สอดคล้องไปกับเส้นเรื่อง หนังเลือกที่จะทิ้งประเด็นความต้องการเป็นฮีโร่และให้สังคมยอมรับทิ้งไป เหลือเพียงแค่ประเด็นของมนุษย์กลายพันธุ์สาวที่ได้รับพลังไม่พึงประสงค์ ไม่สามารถควบคุมพลังนั้นได้ ประกอบด้วยตัวร้ายที่ไม่มีสาระ ไม่มีประเด็นอะไรในอุดมการณ์ที่รองรับการกระทำหรือน่าค้นหา ทั้งหมดดูตื้นเขินไร้น้ำหนักในทุกแง่มุม อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของหนังก็ไม่ได้แย่เกินไปหรือเป็นงานที่ทำแบบขอไปทีจนรู้สึกปวดหัวว่าจะทำมาทำไม ฉะนั้น ดูเพลิน ๆ ก็พอได้ในระดับหนึ่ง…

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ 🙂

Thanawat Numcharoen

X-Men: Dark Phoenix (Simon Kinberg,2019)

ชอบมากๆ โอเคกับการที่มันไม่ได้ใหญ่โตแบบ Day of Future Past และ Apocalypse นะ (ถ้าจะใหญ่โตแบบ Apocalypse ก็อย่าเลย 555) หนังยังแชร์ประเด็นเดียวกันกับชุดนี้มาโดยตลอด ชอบความเป็นครูใหญ่น่ารำคาญของ Professor X คนเหี้ยจริงๆ ชอบแม็กนีโต้เป็นโจนจันได ชอบการระเบิดพลังของฟินิกซ์ หนังเดินเรื่องไวมาก ชอบเพลงประกอบ ที่เร้าไปกับหนังตลอดเวลา แต่ก็ถ้าจะมีเสียดายนิดๆ ก็ตรงมันสั้นไปนี่แหละ พอมีพาร์ทโรงเรียนให้เห็นเยอะกว่าไตรภาคหลังๆ หนังมันก็เหมือนเป็นครึ่งของไตรภาคเก่ากับใหม่ดีน

1975 ปีที่สงครามเวียดนามยุติลง ปีที่สหรัฐและโซเวียตร่วมมือกันในโครงการทดสอบอะพอลโล–โซยุซ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของประเทศสองมหาอำนาจที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานั้น และเป็นการสิ้นสุดการแข่งขันทางอวกาศของทั้งสองประเทศ ในปีนั้นเด็กหญิงชื่อ จีน เกรย์ สัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างในตัวเธอปะทุออกมาจนควบคุมไม่ได้ มันก็ทำให้แม่เธอต้องตายไปต่อหน้าต่อตาจากจากอุบัติเหตุรถคว่ำ

17 ปี ผ่านไป ปี 1992 ไม่มีอีกแล้วความขัดแย้งของยุคสงครามเย็น สหภาพยุโรปเกิดขึ้นในปีนั้น สื่อให้เห็นความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน ความแตกต่างหลากหลายกลายเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตา กลุ่ม X-MEN กลายเป็นขวัญใจของมนุษยชาติ อวกาศไม่ใช่ที่แข่งขันกันอีกต่อไป มันกลายเป็นเรื่องของความก้าวหน้า ภารกิจง่ายๆ ในการเข้าช่วยเหลือนักบินที่เจอพายุในอวกาศ แต่เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อสิ่งนั้นไม่ใช่เพียงพายุในอวกาศ แต่มันคือพลังจักรวาล จีนในวัยที่เติบใหญ่ประสบอุบัติเหตุอีกครั้ง ตัวเธอดูซับรับเอาพลังทั้งหมดนั้นเข้ามาในอยู่ในร่างกาย

โลกคือสถานที่ที่สรรพสิ่งถูกจัดให้อยู่ในระเบียบ เมื่อเทียบกับอวกาศ จักรวาลคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลของพลังที่ไม่เป็นระเบียบ นัยหนึ่ง พลังที่ไม่เป็นระเบียบก็มีศักยภาพที่จะเป็นอะไรก็ได้ ในขณะที่โลกมีความจำกัด นอกโลกกลับเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากลายที่ยังไม่จำกัดตัวมันเอง

โลกจึงเป็นสถานที่ที่จำกัด มันไม่ได้มีความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง มันมีเพียงความแตกต่างที่ถูกอนุญาตให้มีอยู่ โลกหลัง X-MEN Apocalypse คือโลกของจุดสิ้นสุดทางประวัติศาสตร์แบบที่ใครบางคนเรียก เมื่อเสรีนิยมมีชัยชนะต่อสังคมนิยม พระเจ้าก็กลับมาในคราบของเสรีนิยมใหม่ซึ่งอำนาจสถิตอยู่ในทุกคน อำนาจของพระเจ้าสำแดงพลังอยู่ในทุกอณู ทดสอบอย่างรุนแรงลงไปในระดับชีวิต ความผิดพลาดในชีวิตคุณไม่อาจมีใครช่วยเหลือ แต่ถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ในเราทุกคน ชีวิตก็คือความผิดพลาดตั้งแต่ต้น เพราะชีวิตเป็นของพระเจ้าอยู่แล้ว แม้จะมีครอบครัว มีการงาน มีชีวิตที่ดี แต่ด้วยความเป็นพลเมืองชั้นรอง ท้ายที่สุดอีริคก็ถูกทดสอบจากพระเจ้าด้วยอำนาจที่กระทำผ่านรัฐ ทำให้เขาต้องสูญเสียครอบครัวไป คือความย้อนแย้งของอำนาจรัฐสมัยใหม่ที่ยังคงมีรูปแบบแบบโบราณอยู่ไม่แปรเปลี่ยน

ใน Dark Phoenix ไม่มีอีกแล้วความขัดแย้ง มนุษย์กลายพันธุ์เป็นที่ยอมรับเชิดหน้าชูตาของบรรดาประเทศมหาอำนาจ ชาร์ลส์ ซาร์เวียร์ ได้รับการมอบรางวัลจากบรรดาผู้นำ แต่สถานะที่พวกมนุษย์กลายพันธุ์ได้ก็เป็นเพียงสถานะที่ได้รับอนุญาต (ที่มันถูกยอมรับก็เพราะมันดูมีความทันสมัย ดูใหม่ แต่ถ้าย้อนกลับไปในภาค Apocalypse พลังอำนาจแบบโบราณยังมีอยู่เสมอ และรอระรอกที่จะกลับมาใหม่) ต่อเมื่อพลังของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มันพร้อมจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อโลก(รัฐ) ไปโดยปริยาย

ความพ่ายแพ้ของการพยายามเปลี่ยนแปลงโลก เหลือเพียงการอยู่เป็นเพื่อให้อยู่รอด ชาร์ลส์กลายเป็นตัวละครผู้ใหญ่น่ารำคาญที่คอยยื่นหน้ารับคำชื่นชมที่สากลโลกมอบให้ เขากลายเป็นพลังทางการเมืองที่พูดเพียงเรื่องของอัตลักษณ์ ส่วนอีริคกลายเป็นภาพแทนของพลังความเปลี่ยนแปลงในยุคสงครามเย็นที่พ่ายแพ้และภายหลังได้รอมชอมกับอำนาจ หลังยุคสงครามเย็นพลังแบบนี้ได้กลายมาเป็นความเคลื่อนไหวแบบชุมชนนิยมแทน ไม่มีใครฝันถึงโลกแบบใหม่ มีเพียงการอยู่เป็นและอยู่ไป

นี่เป็นปัญหาของเรื่องยุคสมัยและช่วงวัย (จะเห็นสิ่งนี้ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง เมื่อจีนวัยเด็กอยากฟังเพลงสมัยนิยม แต่แม่ของเธอไม่อนุญาต ตอนนี้เธอยังเด็ก ต้องฟังเพลงในยุคสมัยของแม่เธอ) ที่อุดมคติแบบเก่าสูญเสียพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกัน อุดมคติแบบใหม่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ประชากรในรุ่นของชาร์ลส์และอีริคค่อยๆ กลายเป็นคนสูงวัยผู้พ่ายแพ้แต่ก็ยินดีกับมัน ในขณะที่คนหนุ่มสาวอยู่กันอย่างซึมเศร้าและสิ้นหวัง ชาร์ลส์ในเรื่องเป็นอะไรที่ในอนาคตเขาคงเป็นแบบเดียวกับที่เขาเป็นใน Logan เป็นแค่ชายแก่อัลไซเมอร์ ที่เชื่อในอุดมคติความดีความงามแบบเก่าที่มันไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน

Phoenix ไม่ใช่เพียงพลังของการทำลาย แต่มันยังเป็นพลังของการสร้างด้วย ผ่านภาพเปรียบของการจุติ เกิด-ตาย ไม่รู้จบของมัน Dark Phoenix จึงคือความสิ้นหวังของโลกที่ไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป คนรุ่นหลังที่อกหักกับคนรุ่นพ่อแม่ พวกเขาเป็นอะไรในโลกที่ตัวเองไม่ได้สร้าง สิ่งนี้รุนแรงกว่าอำนาจของพระเจ้าด้วยซ้ำเมื่อมันคืออำนาจของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ถ้าหากลูกถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ การกลายพันธุ์ทำไมจึงไม่ใช่เรื่องของพ่อแม่ด้วย โลกดำรงอยู่มาก่อนและเราคือผู้ร่วงหล่นลงมาบนโลก เราติดอยู่ในพันธะทางประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นก่อนได้สร้างเอาไว้ โลกที่เราไม่ได้เลือก และมันก็ไม่มีพลังอะไรที่จะเป็นทางเลือกในโลกแล้ว คุณไม่สามารถที่จะเป็นสิ่งอื่นได้เพราะมันมีเพียงสิ่งที่ถูกกำหนดให้ มันจึงมาสู่คำถามสำคัญที่จีนพูดอยู่ตลอดในเรื่องว่า สรุปแล้วฉันเป็นอะไร?

โลกเป็นสถานที่ที่จำกัดเกินกว่ามันจะมองเห็นด้านที่มันไม่ต้องการนำเสนอ มากไปกว่านั้นมันก็พร้อมจะดักจับพลังของความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ตัวร้ายที่เป็นเอเลี่ยน พวกมันอาจจะมาจากนอกโลก แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกมันอยู่ในรูปกายของคนและต้องการจะมายึดโลกพร้อมทั้งแทนที่มนุษย์ อกัปกิริยาของพวกมันไม่ต่างจากสิ่งที่ไร้ชีวิตจิตใจ ในขณะเดียวกันมันก็ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มีความหลากหลาย คือมันมีการกระทำที่เหมือนกันหมด แต่แตกต่างกันที่อัตลักษณ์ น่าสนใจว่านี่แทบไม่ต่างจากความหมายของประชาชนเลย (มันแชร์สิ่งเดียวกันกับที่พวกชุดแดงผู้มาจากใต้ดินในเรื่อง Us เป็น) ในฉากนึงพวกมันถึงกับบอกว่าพวกมันเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของทางรัฐบาล แล้วความเป็นคนแปลกหน้าหรือกระทั่งไม่ใช่คนของพวกมันก็หมดสิ้นสงสัยไปในทันที การเป็นอำนาจของรัฐทำให้สิ่งที่แม้จะแปลกปลอมเท่าใดก็กลายเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรม น่าคิดต่อไปว่า ผู้คนในโลกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยปราศจากสิ่งอื่น ก็คงไม่ต่างจากพวกเอเลี่ยนนัก

ฉากสุดท้ายของหนังจบลงที่การเล่นหมากรุกกันของเพื่อนคู่รักคู่แค้นทางอุดมการณ์ ชาร์ลส์-อีริค มันอาจจะเป็นภาพที่สวยงามของมิตรภาพที่ไม่จำเป็นที่จะเห็นด้วยแบบเดียวกันเสมอ แต่หากมองอีกด้าน นี่ก็เป็นฉากจบที่มีเพียงคนรุ่นเก่าวัยเกษียณสองคน(ที่ตลอดทั้งเรื่องสุดแสนจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่น่ารำคาญ) ผลัดกันเดินเกมหมากรุกในกระดาน เราไม่เห็นคนรุ่นใหม่ในฉากนี้ ในฉากหลังของปารีส ฝรั่งเศส เมืองแห่งการปฏิวัติ นี่เป็นเพียงการหวนระลึกถึงวันชื่นคืนสุขแบบโรแมนติกไปกับตัวเอง มากกว่าจะเป็นการขับเคี่ยวกันทางอุดมการณ์เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเหมือนอย่างเดิมที่เคยเป็น

ขณะที่พลังการเปลี่ยนแปลงยังคงโคจรอยู่นอกโลก.

จอมจอมขอรีวิว

Review X-Men: Dark Phoenix แบบ สั้นๆ วันที่ดู 15/06/2019

ที่นั่ง E7 Major Cineplex Sukhumvit โรง 1 รอบ 14:30 น.

เป็น X-men ภาคสุดท้ายแล้วแต่ทำออกมาได้ไม่เหมือนภาคสุดท้ายเลย เสียดาย 20 กว่าปีที่ทำมา หนังไม่สุดสักทาง

โดยส่วนตัวเราชอบตัวละครชุดนี้มากกว่าชุดเก่านะ เรื่องตัวละครนี้โอเคอยู่ละ แต่เรื่องเนื้อเรื่อง ตัวร้ายมัน ไม่สุดจริงๆ พูดไม่ถูกเลย ดูแล้วมันยังสามารถปล่อยของได้อีกเยอะมากๆ โครตของโครตเสียดาย จังหวะโชว์ของแต่ละตัวน้อยเอามากๆสู้แต่ละทีแปปๆจบ จังหวะที่ควรเศร้ามันก็ดันไม่สุดอีก เสียดายจริงๆ ที่ไม่ชอบที่สุดเลยคือตัวร้ายที่แบบ โครตวอทดาฟัคมาก มาง่ายๆไปง่ายๆงี้เลยหรอ ไม่มีหักมุมอะไรเลย? เซงมาก ตอนนี้ยังให้ภาคที่ดีที่สุดยังเป็น day of future past อยู่ดี ที่ดีก็คงเป็น มุมกล้อง เพลงที่ดี แล้วก็ cg ที่ดีเหมือนเดิม ที่บ่นคือเสียดายส่วนตัวที่จริงหนังไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่โดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบเลย

น่าเสียดายมาก แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น เอาไป 7 คะแนนพอละกัน อยากให้ดีกว่านี้จริงๆ 🙁

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

The Flash (2023) เดอะ แฟลช

Son of Batman (2014) ทายาทแบทแมน

Batman Begins (2005) แบทแมน บีกินส์

The Dark Knight Rises (2012) แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด

Batman v Superman Dawn of Justice (2016) แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน แสงอรุณแห่งยุติธรรม

แสดงความคิดเห็น

แชร์

หนังอื่นๆ ที่น่าสนใจ

The Jester (2023)
หนังฝรั่ง ซาวแทร็ค
หนัง

4

ดูหนังออนไลน์ 2023

เว็บดูหนังมาแรงในตอนนี้ สามารถดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง ที่มีคุณภาพที่สุดในตอนนี้ ไม่มีโฆษณามารบกวนใจ อีกทั้งมีหนังมากมายมาให้เลือกชม มากมายกว่า 10,000 เรื่อง ที่นี่มีหนังใหม่2023 จากค่ายดังทุกค่ายมาให้ทุกคนได้รับชมกันอย่างรวดเร็ว ไม่ว่า Netflix, Disney+, Viu , DC , Marvel ทำให้ท่านได้รับความสนุกเพลิดเพลินเหมือนได้รับชมอย่างสมจริงทั้งภาพที่คมชัดระดับ Full HD และเสียงภาพยนตร์ที่คมชัดมากที่สุด

ดูหนัง Netflix หนังใหม่

อ่านต่อที่นี่