ดูหนัง ออนไลน์ The Equalizer เต็มเรื่อง (2014) มัจจุราชไร้เงา
เรื่องย่อ
โรเบิร์ต แม็คคอล (เดนเซล วอชิงตัน) ชายคนหนึ่งที่พยายามล้างความผิดของตัวเองในอดีต โดยการเสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน และได้ช่วยเหลือผู้เป็นโสเภณีวัยรุ่น เทอรี่ (โคลอี เกรซ มอเรทส์) ที่กำลังมีปัญหาใหญ่ จนเป็นเหตุให้เขาเข้าไปพัวพันกับแก๊งมาเฟียสุดโหด
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังฝรั่ง เรื่อง The Equalizer (2014) มัจจุราชไร้เงา หนังประเภท Action บู๊ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
ผู้กำกับ
Antoine Fuqua
บริษัท ค่ายหนัง
- Columbia Pictures
- LStar Capital
- Village Roadshow Pictures
- Escape Artists
- Mace Neufeld Productions
- Zhiv Productions
นักแสดง
- Denzel Washington
- Marton Csokas
- Chloë Grace Moretz
- David Harbour
- Bill Pullman
- Melissa Leo
โปสเตอร์หนัง The Equalizer (2014) มัจจุราชไร้เงา
รีวิวหนัง
[CR] —–> Review Equalizer : มัจจุราชไร้เงา ที่ทำให้เราต้องกรี๊ด..!? <—–
เรื่องที่ 2 ติดต่อกันไปเลย หลังจากมีเวลาว่างรวมกับช่วงนี้หนังน่าดูเยอะมาก เลยจัดกันไปเต็มๆกันเล้ยยย !! หัวเราะ
เนื้อเรื่องย่อ : พระเอกผู้เป็นชายปริศนาผู้มากด้วยฝีมือนาม โรเบิร์ต ( Denzel Washington ) คนที่ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญทั่วไปโดยที่มีเบื้องหลังที่ไม่มีใครทราบ ต้องกลับมาใช้ฝีมืออีกครั้งเมื่อเห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งนาม เทรี่ ( Chloë Grace Moretz ) ตกอยู่ในอันตราย ทำให้เขาไม่อาจละทิ้งเด็กคนนั้นได้ ซึ่งผู้กระทำต่อเด็กน้อยนั้นหารู้ไม่ว่า กำลังกระตุกหนวดเสือ “มัจจุราช” อยู่ …!
เนื้อเรื่อง : ใครชอบหนังบู๊แบบแนวคลาสสิคในแบบสมัยก่อน ( มีเนื้อเรื่องเป็นหลัก บู๊และเอฟเฟ็คเป็นรอง ) ต้องชอบเรื่องนี้แน่นอนครับ เพราะเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องนั้น ผมว่าเขาทำมาได้ดีเลยนะครับ ดูไม่น่าเบื่อในช่วงบู๊ และตอนบู๊ก็ไม่บู๊เกินไปจนเกินงาม เอฟเฟ็ค ก็ไม่ได้ใช้อะไรที่ดูฟุ่มเฟือยจนเกินเหตุ พูดง่ายๆก็คือ เรื่องนี้ใช้องค์ประกอบได้สมเหตุสมผลครับ เปรียบเทียบกับอาหารก็รสกลมกล่อมล่ะครับ เรื่องนี้จะค่อยๆ มีจุด Peak ไปตามเนื้อเรื่องของมันเองอย่างลงตัว ใครชอบแนว Taken ละก็ ไม่ควรพลาดครับ สนุกพอๆกันเลย …
นักแสดง : เรื่องนี้ต้องยกให้อาเฮีย Denzel เลยล่ะครับ ผมเป็นชาย ( แท้ๆ ) ดูแล้วยังแอบกรี๊ดในความเท่ห์ของเฮียแกเลยล่ะครับ คนบ้าอะไรไม่รู้ เก่งชิหายเลย 555 เด็กน้อยเทรี่ ผมเองก็ชอบนะ น่ารักดี โตขึ้นเยอะเลยนะหนู แต่ถ้าให้เลือกความชอบในเรื่องแล้ว อาเฮียเนี่ยล่ะ Man of the Match ! ยิ้ม
เพลงประกอบและการถ่ายทำ : สมกับเป็นค่าย Sony นะครับ เพลงประกอบทำได้ดีมาก ตื่นเต้นและเหมาะกับเหตุการณ์ในแต่ละช่วงดี ทำมาได้ดีตั้งแต่ตอนดู Amazing Spider Man 2 แล้วครับสำหรับปีนี้ ส่วนการถ่ายทำ มุมมองการถ่าย ทำได้ดูตื่นเต้นสมกับเป็นหนังบู๊ดีครับ ( แอบมีอารมณ์ The Matrix มาผสมด้วย 555 ) โดยรวมแล้วเฉพาะหัวข้อนี้นะครับ ดีเป็นอันดับต้นๆ ของหนังปีนี้เลยทีเดียว ( โดยเฉพาะเพลงประกอบฉากและเรื่อง )
สรุป : หนังเรื่องนี้ใครชอบแนวบู๊ ที่ไม่ใช่เน้นบู๊ไปวันๆ คงชอบแนวนี้แน่นอน ผมแนะนำนะครับ เพราะต้องบอกเลยว่าเดิมที หนังบู๊โดยไม่เน้นเนื้อเรื่อง ผมไม่ค่อยเห็นถึงความสนุกของมันเท่าไหร่ เพราะขาดความลึกซึ้งในเหตุผลของการกระทำต่างๆ เอาเป็นว่า เรื่องนี้คอหนังบู๊ แฟนคลับน้องหนูและอาเฮีย ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง … !
ปล. แอบจิ้นอาเฮียกับน้องหนูนะเรื่องนี้ อิอิ ! ><”
หนังโปรดของข้าพเจ้า
Review’s point : 8/10
#รีวิวที่ 1/2015 | The Equalizer (2014)
1) การที่ฮอลลีวูดมันยังคงมีหนัง ‘anti-hero’ ประเภทฮีโร่ที่ใช้ความรุนแรงจัดการปัญหา มันน่าจะสะท้อนค่านิยมความเสื่อมศรัทธาในตัวกฎหมายของผู้คนได้เป็นอย่างดี
2) ‘โรเบิร์ต’ (Denzel Washington) มีอดีตยังไงไม่มีใครทราบ แต่เขาเชื่อว่าตัวเองก้าวข้ามอดีตของตัวเองมาใช้ชีวิตสงบสบายง่าย ๆ เป็นพนักงานร้านก่อสร้างธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเขาได้คุยกับ ‘เทรี่’ (Chloe Grace Moretz) โสเภณีเด็กถูกแมงดารัสเซียรุมซ้อมอาการสาหัส เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่เฉย ๆ ทั้งที่สามารถช่วยเหลือเธอได้ เขาจึงลงมือบุกรังแมงดา ก่อนที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อพวกมาเฟียรัสเซียต้องการตามล่าคนที่ลงมืออุกอาจครั้งนี้
3) เราอาจจะแบ่งความเป็นฮีโร่ของ ‘โรเบิร์ต’ ออกเป็นสองด้าน ในด้านหนึ่งเขาคือฮีโร่สำหรับเด็กอ้วนที่อยากเป็นรปภ. เขาคอยเคี่ยวเข็ญ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจจนเด็กอ้วนสอบผ่านได้สำเร็จ
4) ในขณะเดียวกันความเป็นฮีโร่ของเขาในสายตา ‘เทรี่’ อาจจะไม่ใช่การที่เขาลงมือล้างบางแก๊งมาเฟียรัสเซียทั้งโคตร แต่เป็นการที่เขาพูดคุยกับเธอทุกวันในบาร์ พูดให้เธอเชื่อว่าเธอสามารถหลุดพ้นจากการเป็นโสเภณีไปใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการได้ นั่นแหละคือสายตาที่เด็กสาวมองเขาอย่างชื่นชม
5) แต่หลังจากเปิดฉากต่อสู้กันครั้งแรก หนังก็เข้าสู่ขั้น ‘วิบัติ’ ทันที เมื่อหนังพยายามสร้างให้ตัวร้ายฉลาด(ทั้งที่โคตรไม่ฉลาด), หนังพยายามขายความโหดแบบไม่จำเป็น, หนังโยนความไร้เหตุผลเข้ามาเพียงเพื่อจะขายพระเอก
6) มีอยู่ฉากหนึ่งที่ตัวร้ายบอกว่าให้ไปจับเป็นพระเอกเงียบ ๆ อย่าให้มีพยานรู้เห็น แล้วรู้ไหมว่าฉากนี้เขาจับตัวยังไง พี่เล่นบุกไปใช้ปืนจี้พระเอกในบาร์ที่เปิดไฟสว่างโร่ แถมพี่ยังไม่มีแผนสำรอง เพราะพวกพี่เล่นถือปืนวิ่งไล่กลางถนน โอ้ นิยามของคำว่าเงียบ ๆ อย่าให้มีพยาน !
7) ไปอ่านรีวิวนึงของต่างประเทศบอกว่า หนังเรื่องนี้มันยังสะท้อนเรื่อง ‘การทรมานนักโทษ’ เพราะกลุ่มคนดูหัวก้าวหน้ายอมรับได้หากการทรมานเพื่อรีดข้อมูลกระทำโดยพระเอก พูดง่าย ๆ ว่ากระทำโดยฮีโร่เช่นสหรัฐอเมริกาที่ทำไปเพื่อประโยชน์ของสังคม แต่ขณะเดียวกันหากการทรมานกระทำโดยตัวร้าย พวกหัวก้าวหน้าจะไม่ยอมรับทันที
😎 ฉากจบที่ตัวร้ายจับตัวประกันล่อพระเอกมาในคลังเก็บของ ฉากนี้กินเวลาไป 20 นาทีแบบเปล่าประโยชน์มาก เอ็งยิงกันขนาดนั้นไม่มีตำรวจเข้ามาสักคน พวกตัวประกันไม่โทรเรียกตำรวจเลยหรอไงฟะ แถมตัวร้าย 5 คนถืออาวุธสงครามแต่ดันไม่มีแผนสำรองที่จะปราบพระเอก พี่เล่นเดินดุ่ย ๆ ไปให้เขาเชือดทีละคน สิ้นคิดมากสำหรับหนังที่พยายามขายความเท่ ขายกึ๋นพระเอก
9) สิ่งที่สะท้อนว่าหนังพยายามขายสไตล์ได้เป็นอย่างดีคือฉากจบที่พระเอกเดินถือปืนยิงตะปูเข้าฉากแบบ โคตร slow-motion แล้วมีน้ำจากสปริงเกอร์ดับไฟเทลงมาทั่วทั้งฉาก ซึ่งกว่าพี่จะเดิน จะหันมา จะเงื้อมือไม่รู้จะ slow-motion อะไรนักหนา การพยายามขายสไตล์บางทีมันก็ไม่ได้เท่เสมอไป ลองนึกถึงการขายสไตล์แบบเท่ ๆ ผมนึกถึงฉากแอ็คชั่นในหนังของ ‘แซม เมนเดส’ เช่นฉากกระหน่ำยิงมาเฟียกลางสายฝนใน Road to Perdition หรือฉาก 007 สู้ตัวร้ายในตึกที่เล่นกับแสงเงาภาค Skyfall
10) ยังไม่นับรวมความเป็นหนังประเภทเอาเท่เข้าว่า “ก่อนที่ฉันจะลงมือฆ่าพวกมัน ฉันมอบทางเลือกให้พวกมันแล้วนะ” คือมันน่าเบื่อมากที่มาเจอหนังประเภทพระเอ๊กพระเอกไม่สนใจโลกความจริงว่าใครมันจะมากลับตัวง่าย ๆ มันกลายเป็นแค่การสร้างรู้สึกให้คนดูยอมรับได้ว่าการกระทำของพระเอกเกิดขึ้นเพราะจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง
11) ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้ The Equalizer กลายเป็นหนังที่พยายามขายแอ็คชั่นแบบไร้แก่นสารไร้เหตุผลที่มาพร้อมความยาว 132 นาทีที่เกินจำเป็น เมื่อเรามองย้อนไปยังผลงานของ Antoine Fuqua เช่น Olympus Has Fallen และ Shooter มันก็ตอกย้ำให้ผมเชื่อว่าเขาคงไม่สามารถหลุดพ้นจากการทำหนังให้ดีกว่านี้ได้แล้วล่ะ
12) สำหรับ ‘เดนเซล วอชิงตัน’ เขาคือนักแสดงชายที่ชนะบนเวทีออสการ์สาขาการแสดง 2 ครั้งจากการเข้าชิง 6 ครั้ง ที่น่าสนใจคือเขาเล่นหนังอาชญากรรมแอ็คชั่นเยอะมาก แต่งานแอ็คชั่นช่วงหลัง ๆ ของเขามันเละเทะมากทั้ง 2 Guns และ Safe House มันก็ชวนให้เราอยากเห็นเขากลับไปจับงานแนวทริลเลอร์ไม่ต้องแอ็คชั่นก็ได้
Director: Antoine Fuqua
TV series: Michael Sloan , Richard Lindheim
screenplay: Richard Wenk
Genre: crime, action, thriller
5/10
The Equalizer 2 (2018) มัจจุราชไร้เงา 2
The Equalizer 3 (2023) มัจจุราชไร้เงา 3
Man On Fire (2004) คนจริงเผาแค้น