JUNG E (2023) จอง อี บนโลกที่ย่อยยับในอนาคตอันใกล้
JUNG E (2023) จอง อี นักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นกลไกสำคัญในการยุติสงครามกลางเมือง ด้วยการโคลนมันสมองของสุดยอดนักรบ… ซึ่งเป็นแม่เธอเอง “หลังโลกแหลกสลายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งรุนแรง มวลมนุษยชาติจึงต้องอพยพไปอยู่ตามเชลเตอร์ใหม่ในอวกาศ สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นที่นั่นยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ ยุนจองอี (คิมฮยอนจู) กลายเป็นทหารรับจ้างและนักยุทธศาสตร์ในตำนานที่คว้าชัยชนะมานับไม่ถ้วน แต่เมื่อเธอทำภารกิจหนึ่งล้มเหลวจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา โครนอยด์ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อการทหารจึงพยายามสร้างสุดยอดนักรบด้วยการโคลนสมองของเธอ”
Jung_E (เกาหลี: 정이) มีสไตล์เป็น JUNG_E เป็นภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ของเกาหลีใต้ที่สร้างในปี 2023 เขียนบทและกำกับโดย Yeon Sang-ho นำแสดงโดย Kang Soo-yeon, Kim Hyun-joo และ Ryu Kyung-soo ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอตอนสุดท้าย การปรากฏตัวในภาพยนตร์ของคังซูยอนที่เสียชีวิตก่อนเข้าฉาย ฉายวันที่ 20 มกราคม 2023 ทาง NetflixJung_E แสดงให้เห็นถึงโลกที่รกร้างในศตวรรษที่ 22
ที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และมนุษย์ถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในที่พักพิงที่มนุษย์สร้างขึ้นและพื้นที่ที่สร้างขึ้น เมื่อมนุษย์ตั้งรกรากอยู่ในที่พักอาศัยประมาณ 80 แห่ง พวกเขาสามคนประกาศตัวเองว่าเป็นสาธารณรัฐเอเดรียน โจมตีโลกและที่พักพิงอื่นๆ และทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองกำลังพันธมิตรและสาธารณรัฐเอเดรียน
กัปตัน Yun Jung-yi เป็นทหารรับจ้างในตำนานของกองกำลังพันธมิตรที่นำทีมของเธอไปสู่ภารกิจที่ประสบความสำเร็จนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อต่อต้านสาธารณรัฐเอเดรียน เธอมีลูกสาวตัวน้อยคนหนึ่งชื่อ Yun Seo-hyun ซึ่งป่วยด้วยเนื้องอกในปอด และ Jung-yi กลายเป็นทหารรับจ้างเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกสาวของเธอ
วันที่ซอฮยอนเข้ารับการผ่าตัด จองยีทำภารกิจล้มเหลวและจบลงด้วยอาการโคม่า Kronoid ซึ่งเป็นสถาบันที่รับผิดชอบการพัฒนาเทคโนโลยี AI โน้มน้าวให้ครอบครัวของเธอตกลงที่จะโคลนสมองของเธอ โดยสัญญาว่าพวกเขาจะครอบคลุมค่ารักษาของ Jung-yi การศึกษาของลูกสาว และค่าครองชีพสามสิบห้าปีต่อมาในปี 2194 Kronoid
โคลนสมองของ Jung-yi เพื่อพัฒนาทหารรับจ้าง AI ที่มีชื่อรหัสว่า Jung_E ดร. Yun Seo-hyun เป็นหัวหน้าทีมของโครงการวิจัย Jung_E และพยายามที่จะระลึกถึง Jung-yi ในฐานะฮีโร่มากกว่าความล้มเหลว นักวิจัยที่ Kronoid ได้คัดลอกข้อมูลสมองของ Jung-yi และใส่ไว้ในร่างของ Android ผ่านการจำลองภารกิจสุดท้ายของ Jung-yi พวกเขาพยายามดึงข้อมูลหน่วยความจำการต่อสู้ที่สามารถใช้ในการพัฒนา AI การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับกัปตัน Jung-yi ที่ล้มเหลวในภารกิจสุดท้ายของเธอ AI JUNG_E ก็ล้มเหลวในการจำลองทุกครั้งของภารกิจสุดท้าย
ซอฮยอนได้รู้ว่ามะเร็งในวัยเด็กของเธอกลับมาแล้ว และเธอเหลือเวลาอีกเพียงสามเดือนเท่านั้น เธอยังได้เรียนรู้ผ่านประธาน Kronoid ว่าไม่มีความจำเป็นต้องพัฒนา AI ต่อสู้อีกต่อไป เนื่องจากสาธารณรัฐเอเดรียนและกองกำลังพันธมิตรกำลังเข้าสู่สนธิสัญญา ด้วยความสงบสุข บริษัทได้ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่การบริการในครัวเรือน ซอฮยอนพบหนึ่งในสมาชิกทีมของเธอกับหุ่นยนต์ Jung_E ที่นุ่งน้อยห่มน้อยในอพาร์ตเมนต์ของเขา แต่เขาอ้างว่า Kronoid มอบหมายให้เขาสืบสวนโดยใช้โมเดล Jung_E
เป็นเซ็กส์ทอย หลังจากการจำลองโครงการ Jung_E ครั้งสุดท้าย ซอฮยอนหนีออกจากสถานที่พร้อมกับหุ่นยนต์ Jung_E ในขณะที่หุ่นยนต์ต่อสู้และกองกำลังรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ไล่ตามพวกเขา Kim Sang-Hoon ผู้อำนวยการโครงการได้รับการเปิดเผยว่าเป็นหุ่นยนต์ที่มีสมอง AI คิมยิงซอฮยอนขณะที่เธอและหุ่นยนต์ Jung_E วิ่งหนีผ่านรางยกระดับ หุ่นยนต์ Jung_E ต่อสู้กับเขา และเขาถูกทำลายเมื่อส่วนหนึ่งของรถไฟตกลงสู่พื้น ซอฮยอนขอร้องให้ Jung_E
ทิ้งเธอและเอาชีวิตรอด หลังจากที่ซอฮยอนประหลาดใจด้วยการแสดงความรัก Jung_E ก็หลบหนีและมองไปรอบ ๆ บนก้อนหินบนเทือกเขาหนึ่งวันต่อมาหลังจากเปิดตัว JUNG E ขึ้นเป็นที่หนึ่งทั่วโลกในหมวดภาพยนตร์ของ Netflix[15][16] ต่อมาเปิดตัวที่หนึ่งในหมวดภาพยนตร์ยอดนิยม 10 อันดับแรกทั่วโลกของ Netflix (ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) ประจำสัปดาห์วันที่ 16 ถึง 22 มกราคม โดยเข้าสู่ 10 อันดับแรกจากทั้งหมด 80 ประเทศ และมีผู้ชม 19 ล้านชั่วโมง 18]
การตอบสนองที่สำคัญ Jung_E ได้รับ “บทวิจารณ์ที่หลากหลายหรือปานกลาง”
ใน Metacritic เว็บไซต์ให้คะแนน 53/100 จากบทวิจารณ์ 5 รายการ ใน Rotten Tomatoes 50% ของนักวิจารณ์ที่ทำการสำรวจ 24 คนให้คำวิจารณ์เชิงบวกแก่ภาพยนตร์เรื่องนี้ และคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5/10
จากการตรวจสอบของ NME นั้น Hidzir Junaini ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้โดยได้ 3 ดาวจาก 5 ดาว และอธิบายว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ Junaini ยกย่องการแสดงของ Kang Soo-yeon และ Kim Hyun-joo เช่นเดียวกับซีเควนซ์แอ็กชัน การออกแบบ VFX, CGI และเอฟเฟ็กต์ที่ใช้งานได้จริง ม.น. Miller จาก Ready Steady Cut ให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามดาวจากห้าดวง โดยยกย่องฉากแอ็คชั่นและอารมณ์ขันด้านมืดเกี่ยวกับทุนนิยมและบริโภคนิยม
มิลเลอร์วิพากษ์วิจารณ์บทภาพยนตร์โดยบรรยายถึงตัวละครของซังฮุนว่าเสียสมาธิและไม่เป็นที่พอใจ และระบุว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ “บางครั้งก็มีปัญหาในการผสานธีมดิสโทเปียเข้ากับโครงเรื่องที่ไพเราะ” โรฮัน นาฮาร์ที่เขียนบทให้กับ The Indian Express ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ 3 จาก 5 ชื่นชมโครงเรื่องและวิจารณ์สถานที่ตั้งรีวิว Jung_E (2023) จองอี มนุษยชาติผ่านพ้นหายนะบนโลกไปได้ แต่ดันหนีไม่พ้นภัยสงครามภาพยนตร์ไซไฟออริจินัล
Netflix เรื่องล่าสุดจากฝั่งประเทศเกาหลีใต้ ขอบอกก่อนเลยว่าสำหรับผู้เขียนแล้วไม่ค่อยได้เสพหนังจากทางฝั่งเอเชียเลย ถ้ายิ่งหนังเกาหลีก็จะไม่ค่อยได้ดู แต่เรื่องนี้อาจจะต้องเปิดใจดูเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนวที่ผู้เขียนชอบ ซึ่งมาในปี 2023 นี้วงการหนังเกาหลีเริ่มต้นปีด้วยหนังระดับสากลที่แม้อาจจะเทียบกับทางฝั่ง Hollywood ไม่ได้ แต่ในด้านกราฟิกของหนังเรื่องนี้นับว่าเป็นอะไรที่ว้าว
และตกใจมากที่หนังฟอร์มดีของทางฝั่งเกาหลีที่ได้ทำออกมาดีเกินคาดถึงแม้ Cg มันจะลอยๆ บ้างก็ตาม แต่ในด้านของเนื้อเรื่องนั้นให้เพื่อนๆ ผู้อ่านเป็นคนตัดสินได้เลย ส่วนสำหรับตัวผู้เขียนนั้นคิดว่าเนื้อหายังต้องปรับปรุงอีกเยอะจะเป็นอย่างไรไปติดตามอ่านกันด้านล่างได้เลยเรื่องราวเป็นไปในฝั่งอนาคตที่ภัยธรรมชาติได้ทำให้หลายเผ่าพันธ์ุบนโลกสูญพันธ์ุ และมนุษย์ก็ต้องย้ายขึ้นไปอยู่บนอวกาศ
แต่เมื่อทรัพยากรมันมีจำกัด ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์นั้นมักทำสงคราม และเป็นสงครามที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี ทางรัฐบาลจึงมีหุ่นยนต์หลายรุ่นที่ออกมาปฏิบัติงานในช่วงสงครามนี้ อดีตทหารในตำนานอย่าง ยุนจองอี (รับบทโดย คิมฮยอนจู) ที่ซึ่งเป็นทหารมือดีที่สามารถนำชัยชนะในสงครามมาให้ประเทศหลายครั้ง จนมีครั้งนึงที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในอาการโคม่านานหลายปี ซึ่งทางการได้เห็นความสามารถของเธอจึงคัดลอกสมองของเธอเป็นต้นแบบของหุ่นยนต์ทหารที่มีความสามารถ โดยการวิจัยครั้งนี้มีหัวหน้าทีมวิจัยคือลูกสาวแท้ๆ ของยุนจองอี
ได้แก่ ซอฮยอน (รับบทโดย คังซูยอน) แต่ทว่าปัญหาเดิมๆ ของการวิจัยครั้งนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ที่จุดเดิม ทำให้ทีมวิจัยทุกคนต้องเร่งมือหาทางออกเพื่อที่จะนำเธอไปใช้ในสงครามครั้งนี้ให้ได้ และสุดท้ายแล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไร จะมีจุดจบเรื่องที่ตรงไหนเพื่อนๆ ส่วนตัวคิดว่าในเรื่องกราฟิกนั้นดีในระดับนึงแล้ว ถึงแม้จะมีช่วงที่ลอยๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่ลอยเยอะไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังความหวือหวาอะไรขนาดนั้น และถ้าให้พูดในเรื่องของกราฟิกหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ไม่ได้แย่
แต่ทั้งนี้เรื่องเนื้อเรื่องก็สำคัญเพราะหนังเรื่องนี้เนื้อเรื่องค่อนข้างจะงงๆ เรื่องจะเล่าถึงสงครามที่ยืดเยื้อมาเป็นร้อยๆ ปี กับปัญหามลภาวะ และเศรษฐกิจของคนบนโลกบางส่วน ซึ่งการเล่าในช่วงแรกๆ ถือว่าดีเพราะเขาเล่าถึงการที่ต้องใช้ความสามารถของนางเอกในการรบ ทางฝั่งของบริษัทก็ฝึกฝนหุ่นยนต์ซ้ำๆ ทุกรอบ แต่มาจนท้ายๆ เรื่องกลับกลายเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของแม่กับลูกเป็นส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ผิด
แต่เขากลับโฟกัสไปทางนี้หนักไปหน่อย JUNG E และหลังจากนั้นของการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แบบสุดขั้วต่างๆ (เร็วไปมั้ย) ซึ่งเนื้อหาหลังๆ ของเรื่องนี้นับว่าผิดหวังมากจากการที่ติดตามดูมาตั้งแต่ต้นเรื่อง การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้นับว่าเกือบสำเร็จแล้วในช่วงครึ่งแรก แต่ผิดหวังที่ฉากการต่อสู้ที่ยิงกันสนั่นเมืองกับเหล่าหุ่นยนต์เป็นเพียงภาพโฮโลแกรมจากการฝึกหุ่นยนต์รบเพียงเท่านั้น และไม่มีโอกาสฉากต่อสู้ในสงครามจริงๆ
หรือการที่ไม่ได้ใช้มันในการรบแบบจริงๆทั้งนี้นี่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้อ่านมีความเห็นยังไงกับหนังเรื่องนี้ตรงส่วนไหนก็สามารถมาแชร์กันได้ครับเมื่อไม่นานมานี้วงการบันเทิงเกาหลีที่ได้รับการสนับสนุนจาก NETFLIX ให้สร้างงาน Original ออกมาได้ทำให้ดูไปบ่นไปเห็นพัฒนาการอย่างชัดขึ้น เพราะงานอย่าง Space Sweepers หรือ The Silent Sea ที่เป็นการท่องอวกาศของเกาหลีที่ออกมาที่เป็นงานที่อาจดูแปลกใหม่สำหรับผู้สร้างเกาหลี แต่ทางตะวันตกนั้นได้เล่ากัน
มาจนปรุไปหมดจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสัมผัสหรือมองเห็นแรงบันดาลใจจากงานทางตะวันตกชัดอยู่ในงานนั้นๆ กระนั้นก็นับว่าเป็นความกล้าที่จะเสี่ยงเพราะเกาหลีมีวัตถุดิบชั้นดีคือนักแสดงที่มาตรฐานการแสดงสูงพอรับผิดชอบบทยากๆ และมีคนออกแบบหน้าตาอาหารคือคนเขียนบทที่สามารถสร้างความใหม่ในความเก่าด้วยการแทรกรายละเอียดและบริบททางเกาหลีเข้าไป ทำให้ในงานที่ผ่านมาอาจมีบ้างที่มองเห็นความเป็นตะวันตกแต่ก็มีความเป็นเกาหลีอยู่อย่างเข้มจัดและคนดูก็ดูได้อย่างสนุกเพียงแค่บางอย่างอาจไม่สมบูรณ์เพราะยังใหม่ในแนว กระนั้นเมื่อถึงเวลาเกาหลี
ก็ท้าทายตัวเองด้วยความทะเยอทะยานอีกครั้งด้วยการสร้างงานที่ใช้งานทางเทคนิคด้านภาพมาขายโดยใส่หัวใจในแบบเกาหลีเข้าไปกับเรื่องนี้ในอนาคตที่ไม่ไกลโลกไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยได้มนุษย์จึงออกไปสร้างอาณานิคมในอวกาศ แต่มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์สิ่งที่คุกคามมนุษย์
ก็คือความเป็นมนุษย์สงครามจึงตามมาการสู้รบกันจึงต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี กระทั่งมีอาณานิคมหนึ่งซึ่งพูดภาษาเกาหลีกำลังพยายามพัฒนา AI นักรบโดยใส่สมองที่โคลนมาจากสุดยอดทหารรับจ้างนามว่ายุนจองอี (คิมฮยอนจู) โดยโครงการนี้ได้ชื่อว่าจองอีที่ดูแลโดยหัวหน้าทีมยุนซอฮยอน (คังซูยอน) และผู้อำนวยการคิมซังฮุน (รยูคยองซู) กำลังจะถึงทางตันเมื่อการวิจัยก็ยังไม่พบทางออกว่าหุ่นยนต์ที่มีสมองของคนมี
ความรู้สึกเหมือนคนจะสามารถเอาชนะศึกได้ JUNG E และในที่สุดโครงการจองอีก็กำลังจะถูกปิดตัวลงเพราะสงครามกำลังจะสิ้นสุดและหุ่นจองอีทั้งหลายก็กำลังจะถูกใช้ไปในวัตถุประสงค์อื่น ว่าแล้วในวันสุดท้ายของโครงการยุนซอฮยอนจึงตัดสินใจลบความทรงจำหุ่นจองอีตัวอื่นเหลือเพียงหนึ่งตัวที่เธอกำลังจะปลดประจำ
การและปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระ แต่มีหรือที่คิมซังฮุนจะยอมการต่อสู้ที่ดุเดือดจึงมาถึงแต่ทำไมยุนซอฮยอนจึงตัดสินใจแบบนั้นคำตอบมีในหนังเลือกใช้ความจับใจมาดึงหัวใจคนดูเพื่อไปสู่ความเร้าใจทำให้เป็นงานที่มีหัวใจ สำหรับหนังเรื่องนี้เมื่อดูจบทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงหนังสองเรื่องคือ I, Robot (2004) และ Chappie (2015) ที่ว่าด้วยเรื่องของการโคลนสมองกับเรื่องของ AI
ที่ดูน่าสนใจคงเป็นฝีมือการแสดงของ คิมฮยอนจู ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจเปลี่ยนลุคดี คังซูยอน กับคาแรคเตอร์นิ่งๆสุขุมมาก ปล่อยแววตาทำหน้าที่ส่งอารมณ์อย่างลึกซึ้ง (เป็นที่อาลัยยิ่งที่สูญเสียเธอไปจากวงการเมื่อปีที่แล้ว ทิ้งผลงานนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย จึงทำให้ทุกฉากที่เห็นเธอ มีความจุกอกเป็นพิเศษ)
ส่วน รยูคยองซู ผิวเผินอาจดูเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยให้อะไรเท่าไหร่ แต่ดูๆไปก็แอบคิดว่านี่อาจเป็นมุกเด็ดในการเหน็บพวกเศรษฐีนายทุนที่สร้างคนได้ก็ทำลายคนได้ คนไม่ได้มีค่าเพราะถูกมองเป็นเพียงหุ่นยนต์ทำงาน เมื่อไม่ได้ดั่งใจหรือไร้ประโยชน์ก็พร้อมกำจัดทิ้ง ซึ่งถ้ามองมุมนี้ ถือว่ารยูคยองซูถ่ายทอดไว้ได้ดีเลยนะ นอกจากนี้มี น้องพัคโซอี มาร่วมแสดงเป็นยุนซอฮยอนวัยเด็กด้วย น้องฝีมือดีและน่าเอ็นดูเป็นทุน แอร์ไทม์นิดเดียวก็ยังสะดุดตาได้เลยค่ะ และมี ออมจีวอน มาร่วมฉากรับเชิญที่จัดจ้านด้วยอีกคน
ที่คิดเองได้และต้องการปลดปล่อยตัวเองสู่อิสรภาพจากมนุษย์ จึงเห็นส่วนผสมกันของสองเรื่องนั้นโดยมีความเป็นเกาหลีที่ต้องมีดราม่ามาเป็นตัวประสานในเรื่องของผู้เสียสละและชะตากรรมของลูกกับแม่ท้าทายหัวใจและมโนสำนึก ดังนั้นเมื่อมีเรื่องให้เล่าหนังจึงเล่าด้วยความพยายามจับใจคนดูก่อนเพื่อให้คนดูรู้สึกเห็นใจตัวละครซึ่งในที่นี้คือจองอีและซอฮยอนสองแม่ลูก แต่บทกลับไม่สามารถลงลึกได้พอเพราะเวลาน้อยไปในการจะเล่ามิติแบบนี้ให้ทะลุคนดูจึงรู้สึกได้แค่ว่ามีอะไรมาสะกิดใจแต่ไม่รู้สึกลึกซึ้ง กระนั้นเท่าที่เป็นก็สามารถทำให้มองเห็นแรงจูงใจ
และเจตนาที่พาไปสู่ความเร้าใจในตอนท้ายที่คนดูจะลุ้นและเอาใจช่วย
ให้เอาชนะและผ่านไปได้เพราะแม้อาจไม่ปักทะลุหัวใจคนดูก็สัมผัสได้ทางความรู้สึก จึงกลายเป็นจับใจได้ไม่แน่นแต่ก็มีพลังพอให้กลายเป็นงานแอ็กชันไซไฟที่มีหัวใจแต่เมื่อเลือกท้าทายหัวใจจึงมีราคาที่ต้องจ่ายเพราะเหมือนกับความเร้าใจและความบันเทิงเป็นเรื่องรอง แน่นอนเมื่อหน้าหนังออกมาเป็นงานแอ็กชันไซไฟโลกอนาคตหลังโลกล่มสลายสิ่งที่ตามมาคือความคาดหวังของคนดูที่ต้องการเห็นงานแอ็กชันที่ดุเดือดดุดันไม่เกรงใจใคร
ทว่าบทหนังกลับพยายามท้าทายหัวใจคนดูด้วยการเป็นงานแอ็กชันไซไฟที่มีหัวใจและความจริงถ้าว่ากันที่เจตนานั้นก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว แต่จุดเริ่มต้นคนดูไม่ได้มาเพื่อเสพดราม่าเพราะหน้าหนังก็มองไม่เป็นดราม่าสิ่งที่ต้องแลกคือทางแยกในใจคนดูเพราะเมื่อคนดูตั้งใจมาดูความดุเดือดเร้าใจแต่ต้องมาเจอความพยายามจับใจ นั่นก็คือได้ตามวัตถุประสงค์ของบทหนังแต่ผิดเป้าประสงค์ของคนดูเพราะเชื่อว่าคนดูทุกคนต้องการความบันเทิงมากกว่าดราม่า ยิ่งหนังเปิดหัวมาอย่างดุเดือดแต่หนังเกลับใช้เวลาช่วงกลางไปทางความจับใจเพื่อพาไปยังความเร้าใจในตอนท้ายทำให้เหมือนกลายเป็นไม่ได้ดังใจคนดูเพราะหนังเลือกมีหัวใจเป็นหลัก
จนทำให้ความบันเทิงความระทึกเร้าใจเป็นรองจึงเป็นราคาที่ต้องจ่ายแน่นอนเพราะคนดูจะไม่ได้ในสิ่งที่หวังเต็มร้อยชัดเจนในการมาขายงานทางด้านเทคนิคด้านภาพและก็ออกมาเนียนตาในระดับที่น่าพอใจ จะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นความท้าทายและแสดงออกถึงความทะเยอทะยานของคนทำหนัง
และทีมงานวิชวลเอฟเฟกต์ของเกาหลีเช่นกัน เมื่องานด้านภาพกว่าร้อยละแปดสิบเป็นงานด้านเทคนิคแน่นอนในฉากภาพมุมกว้างและฉากการต่อสู้ระหว่างจองอีกับหุ่นยนต์ ซึ่งภาพที่ออกมาถ้าว่ากันที่นี่คืองานที่ส่งตรงลงสตรีมมิ่งก็คืองานที่มีภาพที่เป็นงานซีจีที่เนียนตาเพียงแต่ยังมีบ้างที่เห็นว่าลอยในบางจุดแต่ถ้ามองในภาพรวมของหนังทั้งเรื่องยังดูไม่ออกว่าอันไหนของจริงอันไหนคืองานทางเทคนิค
ซึ่งถ้าได้ดูงานจากเกาหลีมาอย่างต่อเนื่องก็จะพอทราบว่าทางนี้ไม่ค่อยเน้นเรื่องเทคนิคมากแต่เน้นทางบทแต่เรื่องนี้กลับตั้งท่ามาขายงานทางเทคนิคเต็มที่ จึงเห็นเป็นพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดเพราะปกติก็จะเห็นบ้างเป็นองค์ประกอบไม่ใช่มาทั้งเรื่องมาทุกด้านแบบนี้ และที่สำคัญออกมาในระดับที่น่าพอใจเพราะภาพส่งอารมณ์คนดูได้มีฉากแอ็กชันที่ลื่นไหลมองแทบไม่ออก จึงนับว่าถ้ามาเพื่อขายงานทางเทคนิคเรื่องนี้ก็เอาดีได้กับการแสดงที่เล่นไม่กี่คนแต่จัดการได้ในเจตนาที่จะมาจับใจได้แค่บทไม่ได้ไปไกลเท่าไหร่เท่านั้น
สิ่งที่น่าเสียดายคือบทหนังไม่เจาะใจมากกว่านี้เพราะได้นักแสดงฝีมือดีอย่างคังซูยอนผู้ล่วงลับมาประกบกับคิมฮยอนจู ซึ่งความจริงบทเทไปทางคังซูยอนมากกว่าเพราะเป็นตัวเดินเรื่องและเป็นหัวใจของเรื่องซึ่งเธอก็รับผิดชอบได้ดีถ้าว่ากันที่ปูมหลังที่หนังบอกไว้ ส่วนคิมฮยอนจูแทบไม่ต้องทำอะไรเพราะบทที่ได้เป็นหุ่นยนต์ AI แต่ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเพราะยังมีสมองที่โคลนมาจากมนุษย์ ที่น่าเสียดายคือหนังไม่พยายามเจาะใจคนดูให้ได้อาจเพราะรู้ตัวว่าถ้าพยายามมากกว่านี้หนังจะยาวกว่านี้และอาจมีช่วงเนือยเอื่อยเพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังแอ็กชันที่ดันกลายมาเป็นหนังดราม่าไปเสียได้ นั่นคือบทไม่ได้ไปไกลคือเอาเท่า
ที่เล่าได้กุมหัวใจได้แต่ไม่บีบเพื่อที่จะพาคนดูไปสู่ความเร้าใจที่มีที่ไปที่มา ส่วนตัวร้ายของรยูคยองซูนั้นแคโผล่หน้ามาก็รู้แล้วว่าเป็นตัวร้ายแน่นอนซึ่งเอาจริงๆก็มีแค่สามคนนี้มีเป็นผู้เล่นหลักเพราะคนอื่นๆแค่ไม่ประดับเท่านั้นแต่ที่น่าทึ่งคือเล่นกันเท่านี้แต่หนังกลับมีเส้นเนื้อมีลูกชิ้นไม่ได้มีแต่น้ำซุปกับความรู้สึกส่วนตัวออกมาสองทางทั้งผิดหวังและชอบไปในตัว ถ้าว่ากันที่ความเห็นส่วนตัวเรื่องนี้ผู้เขียนก็ไม่ต่างจากคนดูทุกคนกระมังที่เห็นหน้าหนังแล้วคิดว่าได้รับความมันส์บันเทิงแน่นอนแต่ดันมาเจอหนังดราม่าเข้าให้ ทำให้ถ้ามองมุมนี้เรื่องนี้เป็นความผิดหวังแต่ถ้ามองอย่างเป็นธรรมโดยตัดเอาความคาดหวังที่จุดเริ่มต้นออกไป
นี่คือหนังที่น่าพอใจและอยู่ในระดับที่ชอบ เพราะหนังยังมีความบันเทิงที่พึงมีแม้จะไม่มากเท่าที่ต้องการแต่ก็มีแถมยังมีเรื่องของความเป็นมนุษย์ที่ถูกลดทอนลงโดยเทคโนโลยีกับเรื่องสมองและจิตใจ ยิ่งหนังบอกความในใจออกมาว่าเรื่องนี้คือความคิดความผูกพันระหว่างลูกกับแม่ที่แค่เอื้อมและเห็นหน้าแต่ว่าไม่อาจได้รับไออุ่น แน่นอนถ้าจะคิดก็อุดมไปด้วยประเด็นทางสังคมมากมายเขียนไปสามหน้ากระดาษก็ไม่จบเอาเป็นว่าหนังไม่ได้เป็นความบันเทิงที่กลวง เพราะเกาหลีก็ยังคงเป็นเกาหลีที่แม้จะมาในงานไซไฟขายเทคนิคยังไม่ลืมหัวใจทำให้เมื่อไปถึงจุด
ที่ต้องการคนดูก็เร้าใจสุดขั้วที่มาพร้อมกับอาการลุ้นเพราะทุกอย่างมีเหตุผลของมัน เพียงแต่เมื่อเริ่มต้นไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ก็เท่านั้นเรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 22 การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้โลกกลายเป็นที่อาศัยไม่ได้ และมนุษย์อาศัยอยู่ในที่กำบังที่มนุษย์สร้างขึ้น
สงครามเกิดขึ้นภายในที่กำบัง จุงยี เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของกองกำลังพันธมิตร เธอกลายเป็นหัวข้อของการทดลองการโคลนนิ่งสมอง การทดลองโคลนเป็นกุญแจสำคัญในการชนะสงคราม ซอฮยอน และ ซังฮุน มีส่วนรับผิดชอบต่อความสำเร็จของการทดลองการโคลนนิ่งสมอง ซอฮยอน เป็นหัวหน้าทีมของห้องปฏิบัติการที่พัฒนาการโคลนสมองและเทคโนโลยี AI
เป็นผลงานเขียนบทและกำกับโดย ผู้กำกับยอนซังโฮ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ Train to Busan (2016), Psychokinesis (2018), Peninsula (2020) รวมถึงงานเขียนบทของซีรีส์ The Cursed (2020), Monstrous (2022) ดูพอร์ตงานแล้ว ก็จะเห็นภาพความคิดที่มีความแหวกกรอบ กล้าต่าง และสอดแทรกสาระสะท้อนสังคมหรือมนุษย์ได้ดี
หนังจั่วหัว Genre ไว้ว่าเป็น Sci-fi Action และ Drama บนท้องเรื่องที่สะท้อน ‘โลกดิสโทเปียยุคไซเบอร์พังค์‘ (Dystopia คือ โลกที่เลวร้ายรุนแรง สถานการณ์หายนะเหมือนนรก ไม่น่าอยู่, Cyberpunk คือ โลกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแต่สังคมหรือคุณค่าความเป็นมนุษย์เสื่อมถอยสวนทาง) แถมบางแหล่งระบุเพิ่มด้วยว่าเป็นสงคราม จึงอาจสร้างความคาดหวังเกินเลยไปบ้าง เหมือนปกและคำนำหนังสือที่ทำให้เราเผลอตั้งตารอความระทึกตื่นเต้นจากหุ่นยนต์สู้รบประจัญบานระห่ำเต็มรูปแบบ แต่เอาเข้าจริง มันเป็นเพียงการปูท้องเรื่อง
เพื่อนำเข้าสู่ประเด็นเบื้องลึกจิตใจมนุษย์ที่อยู่ในสังคมดิสโทเปียและไซเบอร์พังค์ ที่ชวนให้ต้องดิ้นรนเพื่อการปลดปล่อยสู่อิสระซะมากกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ศูนย์วิจัยโครนอยส์ ที่ทำงานพัฒนาวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ตั้งอยู่บนดิสโทเปียที่สภาพแวดล้อมหายนะไปแล้ว
มนุษย์ส่วนใหญ่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่บนอวกาศระหว่างวงโคจรและดวงจันทร์ที่เรียกเป็น ‘เชลเตอร์ (Shelter)’ ต่อมาเชลเตอร์ที่ 8, 12 และ 13 ตั้งตนเป็น กลุ่มปกครองตนเอง สาธารณรัฐอาเดรียน เข้าโจมตีเชลเตอร์อื่น ๆ ก่อสงครามระหว่างอาเดรียนกับกองกำลังพันธมิตรของเชลเตอร์อื่น ๆ (เฉกเช่นกลับสู่ยุคสงครามโลกอีกครั้ง!) ศูนย์วิจัยโครนอยล์จึงมุ่งมั่นคิดค้นพัฒนานักรบเอไอเพื่อการค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำ ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง
โครงการวิจัยนักรบเอไอที่พัฒนาจาก ‘โปรแกรมจองอี’ ตั้งต้นมาจากการนำเอาสมองของมนุษย์ทหารที่เก่งกาจการรบคนหนึ่งของกองกำลังพันธมิตรอย่าง กัปตันยุนจองอี (รับบทโดย คิมฮยอนจู) มาโคลนนิ่งใส่ให้ฝูงหุ่นยนต์ หวังให้ถ่ายทอดจิตวิญญาณของสุดยอดทหารรับจ้างในตำนาน ที่เด่นทั้งด้านการคิดเชิงกลยุทธ์ ทักษะการต่อสู้ และจิตใจที่จงรักภักดี สร้างเป็นกองกำลังหุ่นรบทรงประสิทธิภาพ
ในอดีต ยุนจองอี เป็นฮีโร่ที่ผู้คนยกย่องชื่นชม แต่ด้วยโคม่านอนเป็นเจ้าหญิงนิทราจากการปฏิบัติหน้าที่เมื่อ 35 ปีก่อน และเพราะความยากจนของเธอ เป็นเหตุให้ครอบครัวต้องยอมยกสิทธิ์ของสมองยุนจองอีให้รัฐนำไปใช้ประโยชน์ปัญหาที่โครนอยด์แล็ปกำลังเผชิญนั้นคือ นักรบเอไอสั่งการของโปรแกรมจองอียังไม่สามารถผ่านขั้นตอนการพัฒนาสุดท้ายได้ แม้ว่าผอ.ของแล็ป คิมซังฮุน (รับบทโดย รยูคยองซู) และ หัวหน้าวิจัย ดร.ยุนซอฮยอน (รับบทโดย คังซูยอน) ได้นำทีมทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็ตาม ทำให้ลูกค้า VIP จากกองทัพไม่พึงพอใจ
แต่แล้ว สถานการณ์ก็เปลี่ยนเพราะสงครามเกิดยุติลงได้โดยไม่คาดคิด ส่งผลกระทบให้ประธานโครนอยด์คิดพลิกแผนธุรกิจ เปลี่ยนเป้าหมายการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการค้าไปยังตลาดกลุ่มอื่น ๆ แทนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ สร้างความบีบคั้นทางใจให้กับยุนซอฮยอน ในฐานะผู้ผูกพันใกล้ชิดกับจองอี จนเกิดเรื่องราวอันชวนระทึกและสะเทือนใจตามมา
โดยรวมถือว่าหนังดูได้สนุกถ้าไม่คิดเล็กคิดน้อย JUNG E มีความน่าสนใจในการผูกพล็อต ที่นำหลายประเด็นใหญ่มาร่วมผูกสร้างแกน แต่อาจถูกใช้แบบไม่สุดในหลายเรื่อง เช่น ใช้เรื่องดิสโทเปียแบบผิว ๆ เพื่อแค่การปูท้องเรื่อง หรือแค่ใช้เป็นองค์ประกอบเพื่อเป็นสะพานส่งต่อประเด็น และยังละรายละเอียดให้เข้าใจกันเองแบบรวบหลวม ๆ ไว ๆ รวมถึงที่ได้เกริ่นไว้ตอนแรก ความคาดหวังก่อนดูกับเมื่อดูไปจนเข้าครึ่งเรื่องหลัง จึงอาจรู้สึกเหมือนถูกหลอกหลงประเด็นหรือไม่?
กว่าจะเข้าสู่แก่นเรื่องที่ชัดเจนก็ปาเข้าไปองก์สาม ความรักความผูกพันแม่ลูกที่สร้างพลังปกป้องสุดชีวิตได้ จิตวิญญาณมนุษย์ในความรักบริสุทธิ์ยังมีค่าเสมออยู่ในส่วนลึกที่ไม่มี AI หรือเทคโนโลยีใดจะมาควบคุมบงการหรือทดแทนได้ เช่นการพูดถึงพื้นที่สมองส่วนสีเหลือง หรือการเปรียบเปรยเรื่องหม้อหุงข้าวของประธานโครนอยล์ ถ้าดูจนจบจะรู้สึกดีขึ้นในความกล้าคิดบทออกมาแบบนี้ ได้คะแนนความสดใหม่ไปเลยเนื้อหาที่โปรยปูภาพด้านมืดของโลกอนาถสังคมน่าชิงชังนั้น ยังคงเป็นความจริงที่ถูกจิกกัดเสียดสีอย่างโดน ๆ
อัดมาแน่น ๆ แม้ว่าโลกจะเคลื่อนตัวไปสู่อนาคตข้างหน้าด้วยวิวัฒนาการเทคโนโลยีล้ำหน้าชวนทึ่งเพียงใด ต้นตอของจิตมนุษย์ที่สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับแรงปรารถนาความโลภความเห็นแก่ตัวที่ก่อให้เกิดสิ่งเลวร้ายได้เสมอ ไม่ว่าจะในแง่มุมของสงคราม การสร้างอำนาจเพื่อครอบครองสิ่งต่าง ๆ ไม่จบไม่สิ้น ในแง่ของการแบ่งแยกชนชั้น การจัดค่าของคนด้วยเงินทอง
ตัดเกรดคนด้วยตัวอักษร A, B, C เพื่อให้สิทธิ์พื้นฐานในการดำรงชีพแบบเหลื่อมล้ำกัน จนทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ลดหลั่นกันไปด้วย ไปจนถึงค่าความเป็นฮีโร่หรือเกียรติคุณงามความดีที่เลือนหายได้ง่าย ๆ ในโลกสังคมทุนนิยม นายทุนมองแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ทุกอย่างรอบข้างเป็นเพียงวัตถุด้อยค่าจริงๆในแง่งานโปรดัคชั่นจัดว่าเต็มที่ CG ปราณีตในระดับที่ไม่ขัดตา ฉากแอ็คชั่นเสิร์ฟเยอะพอประมาณได้แบบเสมอตัว ไม่มีซีนว้าวพิเศษหรือมุมแปลกใหม่ หรืออาจจะใหม่บ้างสำหรับงานเกาหลีถ้าไม่เทียบกับฟากตะวันตก
ขอให้สนุกกับการดูหนังออนไลน์ หนังเกาหลี เรื่อง JUNG E (2023) จอง อี หนังประเภท Sci-Fi วิทยาศาสตร์ เว็บดูหนัง KUBHD.COM ดูหนังออนไลน์ฟรี หนังไทย หนังต่างประเทศมากมายกว่า 10,000 เรื่อง หนังใหม่ ดูฟรี หนังไม่กระตุก ดูหนังชัดชนโรง หนังพากย์ไทย ซับไทย เต็มเรื่องHD Movie hdfree หนังใหม่อัพเดททุกวัน หนังอัพเดทตลอด 24 ชั่วโมง ดูหนัง 2023 ดูหนังบนมือถือ Android iOS
6.8