ดูหนังออนไลน์ Midnight Sun (2018) หลบตะวัน ฉันรักเธอ
เรื่องย่อ
เคธี่ (เบลล่า ธอร์น) สาวน้อยที่เป็นโรคแพ้แสงแดด ทำให้เธอใช้ชีวิตตามใจได้แค่ในยามราตรี ส่วนช่วงกลางวันเธอทำได้เพียงอยู่แต่ในห้อง มองดูชีวิตของคนวัยเดียวกับเธอผ่านหน้าต่างกันแสงบานโต และวันหนึ่ง เธอสะดุดตาเข้ากับ ชาร์ลี (แพทริก ชวาร์เซเน็กเกอร์) ชายหนุ่มที่ผ่านหน้าบ้านของเธอเป็นประจำ รู้ตัวอีกที การแอบมองชาร์ลี ก็กลายเป็นอีกกิจวัตรของเธอไปแล้ว
แต่ดูเหมือนพอจะมีข้อดีของการออกไปใช้ชีวิตตอนกลางคืนของเธออยู่เหมือนกัน เพราะทำให้เธอได้พบกับ ชาร์ลี โดยไม่เคยคิดฝันมาก่อน จนทั้งคู่มีโอกาสได้พัฒนาความสัมพันธ์กัน ความรู้สึกดีๆที่มีให้กันก็เพิ่มขึ้นตามเวลา แต่แน่นอนว่า เธอ ยังคงกุมความลับเรื่องเจ้าโรคหายากของเธอไว้ เพราะเธอไม่อาจคิดได้เลยว่า หาก เขา รู้ความจริงข้อนี้แล้ว จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เดินไปในทิศทางไหนกันแน่
ผู้กำกับ
- Scott Speer
บริษัทผู้สร้าง
- Boies / Schiller Film Group
- Wrigley Pictures
- Rickard Pictures
นักแสดง
- Bella Thorne
- Patrick Schwarzenegger
- Rob Riggle
- Quinn Shephard
- Suleka Mathew
โปสเตอร์หนัง Midnight Sun (2018) หลบตะวัน ฉันรักเธอ
รีวิวหนัง Midnight Sun (2018) หลบตะวัน ฉันรักเธอ
สมาชิกหมายเลข 3535939
[รีวิวหนัง] Midnight Sun หลบตะวัน ฉันรักเธอ 2018 | ดูแล้วอินกับความรัก เพลงเพราะ [สปอย]
Midnight Sun | หลบตะวัน ฉันรักเธอ 2018
“การมีใครสักคน นั่นแหละคือส่วนที่ดีที่สุด”
บทนำ + เรื่องย่อ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปี 2006 ในชื่อเดียวกันว่า Taiyō no Uta (ภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งก็เป็นหนังรักโรแมนติกที่ออกฉายในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2006 ผลงานการกำกับของ โนริฮิโระ โคอิซึมิ เจ้าของผลงาน Wrestling with a Memory, Flowers และ Chihayafuru เขียนบทโดย บันโดะ เคนจิ ที่อยู่เบื้องหลังหนังรักญี่ปุ่นหลายเรื่อง อาทิ I Give My First Love to You, Heavenly Forest รวมถึง Kids
โดยในเวอรชั่นนี้จะพูดถึง เคที ไพรซ์ (เบลลา โทรน) อายุ 17 ปี เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ เธอไม่สามารถที่จะสู้กับแสงอาทิตย์ได้ ยามค่ำคืนจึงเป็นเวลาเดียวที่เธอจะสามารถออกจากบ้านได้ ดังนั้นเธอจึงต้องนอนหลับในช่วงเวลากลางวัน ก่อนจะตื่นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่เธอจะออกไปเล่นกีตาร์ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เมื่อเธอได้พบกับ ชาร์ลี (แพททริค ชวาร์ซเนคเกอร์) เธอไม่ได้บอกถึงข้อจำกัดของตัวเองในตอนแรก เพราะเธอกลัวว่าจะทำให้เขาจากไป แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขาทั้งคู่ไปออกเดทกันในคืนหนึ่ง ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งเธอรีบวิ่งกลับบ้านให้ทันเท่าที่จะทำได้ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ชาร์ลีเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เคทียังคงกลัวที่จะบอกเขาถึงความลับของเธอ
รีวิว
ถ้าพูดถึงตัวอย่างหนังนั้นหลายคนอาจดูแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังเรื่องนี้คงดำเนินตามสูตรหนังรักวัยรุ่นทั่วไป โดยมีสูตรสำเร็จของหนังวัยรุ่นเดิมๆอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความรักของสองคน ครอบครัว รวมไปถึงเหตการณ์ต่างๆที่น่าจะพอเดาได้จากแต่ละฉาก แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกชอบมากที่สุดคือ หนังเรื่องนี้ใช้ความ “ธรรมดา” และความ “ธรรมชาติ” มาถ่ายทอดให้เราได้ดูกัน หนังจะไม่ค่อยยืดเยื้อสักเท่าไหร่ แต่ละฉาก สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก และที่สำคัญหนังเรื่องนี้มีเพลงเพราะๆให้ได้ฟังกันอีกด้วยนะ
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้อาจเป็นหนังรักทั่วไปที่หลายๆคนเคยๆดูมาไม่ว่าจะกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง หากแต่ว่าหนังใส่เรื่องราวของตัวละครฝ่ายนำหญิงเข้าไปคือ เคที่ ที่ต้องเป็นผู้หญิงที่มีความผิดปกติโดยเธอป่วยเป็นโรคที่เธอนั้นไม่สามารถถูกหรือโดนแสงอาทิตย์ได้ ดังนั้นเธอจึงอยู่แต่ในบ้านในตอนกลางวัน และตื่นตอนกลางคืน จึ่งทำให้เธอไม่สามารถมีชีวิตแบบคนปกติได้ ถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดขึ้นมาในใจว่า นี่มันก็เป็นอีกสูตรหนึ่งของหนังที่หลายๆคนก็อาจจะเห็นมาหลายต่อหลายเรื่องอีกแหละ เช่น Penelope, Beastly หรือแม้กระทั่ง The Fault in Our Stars ซึ่งถ้าจะพูดแบบนี้มันก็ถูกต้อง
แต่หนังเรื่องนี้ค่อนข้างต่างจากหนังเหล่านั้นเล็กน้อย ตรงที่ในหนังนั้นทุกอย่างค่อนข้างจะดูเป็นธรรมชาติ เหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นได้กับเราๆ คือรู้สึกเหมือนว่ามันเหมือนเอาชีวิตคนมาให้ดูก็ว่าได้ ไม่มีโอเวอร์ ไม่มีอำอาจวิเศาใดๆ มีแค่ความรู้สึกของพระนางที่เล่นได้เข้ากีนดี และมันคือความรู้สึกอินกับหนังล้วนๆ และที่เห็นเด่นชัดเลย หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เน้นเรื่องความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดตามภาษาของเราๆก็อาจพูดได้ว่าตลอดทั้งเรื่องนั้นเหมือนหนังโลกสวยที่อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์
มันสัมผัสได้ถึงความรักของหลายๆฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเคทีกับพ่อของเธอเองที่ เหมือนกับว่าเธอโชคดีมากที่มีพ่อที่แสนดีและเข้าใจเธอมาตลอด โดยในเรื่องก็มีฉากฮาๆเรียกเสียงหัวเราะได้อยู่หลายฉากเหมือนกัน เลยทำให้หนังไม่หวานจนเกินไป พ่อของเธอคือคนที่คอยเอาใจใส่เธอทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครูให้ จะคอยเอาของขวัญมาให้ตอนเรียนจบ หรือแม้กระทั่งคอยดูแลเธอตลอดจนตัวเองที่ (น่าจะเป็นช่างภาพ) ต้องทิ้งทุกอย่างมาดูแลเธอ ซึ่งตรงนี้ก็ชอบมากๆเลย
และอีกฝ่ายคือเคที่กับชาร์ลี แน่นอนว่ากว่าเธอจะได้เจอและสมหวังกับชาร์ลีนั้นก็มาจากการที่เธอได้เจอกันที่สถานีรถไปตอนที่เธอไปยืนดีดกีตาร์ร้องเพลงนั่นเอง เธอได้พบและได้พูดคุยกับ ชาร์ลี ชายหนุ่มที่เธอมองจากหน้าต่างบ้านทุกวันตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เป็นครั้งแรก ฮ่าๆๆ มีหลายฉากเหมือนกันที่เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้จากการกระทำของเธอ
เคที่และชาร์ลีเดทกัน โดยที่เธอเองไม่ได้บอกความลับให้กับชาร์ลีได้รู้เรื่องที่ว่าเธอป่วย จนกระทั้งวันนึงความลับก็แตกจนทำให้เคที่เองคิดว่าชาร์ลีจะเสียเวลาเปล่า ตรงนี้หนังก็ใช้เวลาไม่มากที่จะปรับความสัมพันธุ์ของสองตัวละคร เลยทำให้รู้สึกว่ามันกระชับดี แต่หนังมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย โดยส่วนตัวแล้วในส่วนของข้อเสียคือเราว่าหนังค่อนข้างมีบทที่เบาไปหน่อยในบางฉาก หรือการกระทำบางอย่างมันก็ยังดูขัดๆนิดๆ และสุดท้ายหนังก็ดำเนินมาถึงจุดจบ ซึ่งแน่นอนถ้าหากว่าใครดูเวอร์ชั่นต้นฉบับมาก็น่าจะรู้ว่าจะต้องจบยังไง
โดยรวมถือว่าชอบหนังเรื่องนี้นะ อาจไม่เพอร์เฟคมากมาย อาจไม่ได้ชอบมากมาย แต่ตอนดูมันทำให้ใจรู้สึกหวิวๆและยิ้มเวลาดูหนังออกมาได้ (ไม่ได้ยิ้มเพราะฉากขำๆนะแต่ยิ้มเพราะความน่ารัก ความโรแมนติกที่ตัวละครเอกทั้งสองตัวแสดงออกมาได้อย่างดีจนเราอิน) ก็มีความสุขที่ได้ดูและแน่นอนไปดูคนเดียวอย่างเราก็อินไปดิ อินไป ฉากใหนเศร้าก็เศร้าไป ด้วยความที่ไปดูคนเดียวมันก็จะอินหน่อยๆ ฮ่าๆๆ ชอบหลายๆอย่างเอามากๆ โดยเฉพาะเพลงในเรื่องที่แต่ละเพลงก็ค่อนข้างเพราะซะด้วยแฮะ หลายๆฉากดูๆแล้วรู้สึกคิดในใจ ทำไมพระเอกหล่อจังเลยวะ 555 คนอะไรหล่อมาก ก่อนดูก็ไม่ค่อยได้ดูชื่อนักแสดงเท่าไหร่นะ แต่พอดูจบลองอ่านชื่อคนที่มารับบทชาร์ลีดีๆ อ้าวเฮ้ยนี่มัน ลูกคนเหล็กนี่หว่า ลูกของอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ดีนะที่คนตั้งชื่อหนังไม่ตั้งชื่อหนังภาษาไทยตามพ่อ ไม่งั้นคงมีคำว่า คนเหล็กแน่เลย 55555
แถมหนึ่งในเพลงเพราะๆจากหนัง เพลง Burn so Bright ร้องโดย Bella Thorne เอง
ให้คะแนน 7.5/10
ก็แค่คนชอบดูหนัง
รีวิว Midnight Sun : หลบตะวัน ฉันรักเธอ (8/10)
หนัง Feel Good กว่าที่คิด ตลกและซึ้งกำลังดี
[**No Spoil ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ]
.
ตอนแรกอ่านเรื่องย่อหนังแล้วก็สนใจไปดู
คิดว่าหนังต้องมาแนวโรแมนติกและเศร้าแน่ๆ
แต่ผิดคาด หนังมีมุมน่ารักๆ และตลกอยู่ไม่น้อยเลย
.
ดูเป็นหนังรักวัยรุ่นใสใสไม่ใช่หนังโรแมนติกดราม่า
ก็ยังมีฉากเรียกน้ำตาอยู่บ้างตามพล็อตเรื่อง
แต่ไม่ถึงขั้นฟูมฟายเอาน้ำตาเช็ดไหล่คนข้างๆ
#แบบว่าดูคนเดียวไง!! #ไม่มีใครให้ซบ 🤣
.
เรื่องนี้ดัดแปลงจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปี 2006
โดยส่วนตัวเราไม่เคยดูเวอร์ชั่นต้นตำรับมาก่อน
#ต้นตำรับแล้วเมื่อไหร่จะตื่น ? #ไม่ใช่ !! 🙄
จึงทำให้ดูเวอร์ชั่น 2018 นี้แบบไม่มีอคติ
และการเปรียบเทียบใดๆ
.
เรื่องราวความรักของ “เคที่” เด็กสาววัย 17 ปี
ที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านในช่วงกลางวัน
ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมาตั้งแต่ยังเด็ก
เพราะเธอป่วยเป็นโรคประหลาด “ห้ามโดดแดด” !!
.
หากเธอโดนแสงอาทิตย์แม้แต่นิดเดียว
มันก็จะสามารถคร่าชีวิตเธอได้ #ไม่ใช่แวมไพร์
จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มะเร็งผิวหนัง
ทำให้ไม่สามารถออกมานอกบ้านในช่วงกลางวันได้
.
จะใช้ครีมกันแดด SPF เท่าไหร่
มีค่า PA บวกลบคูณหารยังไงก็เอาไม่อยู่
และมีแค่หนึ่งในล้านคนเท่านั้นที่จะเป็น
เป็นแจ็คพอตที่ถ้าเปรียบเป็นหวยแล้ว
ทำตกยังไงก็ไม่มีใครเก็บ 😏
.
ช่วงตะวันตกดิน โลกของ “เคที่” จะสว่างสไวขึ้น
เธอชอบออกไปเล่นดนตรีที่สถานีรถไฟละแวกบ้าน
จนคืนหนึ่งเธอได้พบกับ “ชาลี” นักกีฬาว่ายน้ำ
ดาวเด่นของโรงเรียนมัธยม คนที่เธอแอบปลื้ม
ผ่านหน้าต่างห้องของเธอมาเป็นปีๆ
.
แน่นอนว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีสาวน้อยคนหนึ่ง
แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย #วู้ฮู้
ผ่านกระจกห้องนอนบานน้อยของเธอ
.
แต่บุพเพสันนิวาสก็ได้พาให้ทั้งสองได้มาพบกัน
ความสัมพันธ์ เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง
และตามมาด้วยอุปสรรคจากโรคที่เธอเป็น
.
อีกทั้งเธอก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกเรื่องนี้กับเขา
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพาร์ทที่พอจะเรียกน้ำใสใส
ให้รินออกจากตากันได้บ้าง..
.
#จุดที่เราชอบในหนังเรื่องนี้..
คือพล็อตเรื่องดูละม้ายคล้ายจะดราม่าก็จริง
แต่พอเอาเข้าจริงค่อนข้าง Heartwarming มากๆ
ช่วงจีบกันใหม่ๆ หนังเล่นกับความรู้สึกของเด็กสาว
ที่พึ่งเคยได้พบปะกับหนุ่มที่เธอแอบรักเป็นครั้งแรก
หนังทำออกมาได้ตลก ในแบบน่ารักมาก ๆ
เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมไปได้ไม่น้อย
.
อีกจุดที่ทำให้โทนหนังดูสนุกและอบอุ่นหัวใจ
คือทัศนคติของตัวละครแต่ละตัวดีมาก
เริ่มจากที่คุณพ่อผู้อาภัพ เมียตาย ลูกก็ป่วย
#น่าสงสารมาก T^T
.
“แจ๊ค” เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ที่เลี้ยงลูกสาวได้ดี
น่าเอาเยี่ยงอย่าง ทำให้เคที่เป็นเด็กที่แม้จะป่วย
แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างร่าเริงและมีความสุขได้
เป็นหนังที่แฝงจิตวิทยาในการเลี้ยงลูก
วัย Teenage ได้ดีไม่น้อยเลย
.
#ส่วนที่เราคิดว่าหนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้คือ..
ส่วนตัวเรารู้สึกว่าการแสดงของคู่พระนาง
เคมีไม่ค่อยจะเข้ากัน ยังสื่ออารมณ์ออกมาได้ไม่สุด
ทำให้ดูไปเรื่อยๆ ดูเพลินๆ ได้ แต่ไม่มีอะไรน่าจดจำ
.
ในส่วนจุดพีค หนังก็ยังเค้นอารมณ์ออกมาได้ไม่สุด
หรือไม่ก็อาจจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็เป็นได้
แต่เอาเป็นว่าเราดูแล้วยังไม่อินเท่าไหร่
.
ตัวละครที่เราชอบ กลับเป็น “มอร์แกน”
เพื่อนนางเอกเสียมากกว่า แบบว่าตรงสเปคน่ารัก
#ไม่ใช่ละ!! เอาความรู้สึกตัวคือเพื่อนนางเอก
ดูมีมิติน่าสนใจ แย่งซีนคู่พระนางไปพอสมควร
.
ส่วนความไม่เมคเซนส์ในการกระทำของตัวละคร
เรื่องนี้เรารู้สึกเฉยๆ มองในมุมที่ว่าถ้าตัวเราเอง
เข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตัวละคร
อาจจะทำแบบนี้เช่นกันก็เป็นได้
.
#สรุป.. โดยรวมเราชอบหนังเรื่องนี้นะ
ตอนแรกก็ลังเลว่าจะให้ 7 หรือ 8 คะแนนดี
เพราะไอ้เราก็ไม่ชอบใส่จุดทศนิยมซะด้วย
จึงใช้ความรู้สึกล้วนๆ ปัดขึ้นให้ 8 คะแนนไป
.
จะดูในโรงก็ฟิน หรือจะรอดูในเว็บสตรีมมิ่งก็ฟินได้
ใครสนใจก็เข้าไปดูเพลินๆ ดูมุกตลกเบาๆ และ
ฟังเพลงอะคูสติกเพราะๆ จากนางเอกกันได้ครับ 🙂
.
“รสนิยมการดูหนังแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณคิดว่าใช่ พิสูจน์ด้วยตาของคุณเองดีที่สุด
แล้วอย่าลืมกลับมาคุยกันนะครับ ^^”
ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
Five Feet Apart (2019) ขออีกฟุตให้หัวใจเราใกล้กัน
The Fault in Our Stars (2014) ดาวบันดาล
6.3